มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์ 02 248 3737
ให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์
Consumer Thai Facebook page

< กลับไปหน้ารวมข่าว

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้สิ้นซาก!รัฐฯต้องผนึกกำลังจัดการ

เขียนโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

เขียนเมื่อ: 15-08-2024 11:44

หมวดหมู่: การเงิน การธนาคาร

ภาพประกอบข่าว

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้สิ้นซาก!รัฐฯต้องผนึกกำลังจัดการ

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย! แถมมีมุกใหม่ๆ เป็นกลวิธีทำให้เหยื่อตกใจและติดกับดักได้ง่ายขึ้น จนดูดเงินจากบัญชีได้อย่างง่ายดาย เช่น โชคดีรับรางวัลใหญ่ โอนเงินผิดเข้าบัญชีขอให้โอนเงินคืนบัญชีเงินฝากถูกอายัด เป็นหนี้บัตรเครดิต บัญชีเงินฝากพัวพันกับการค้ายาเสพติดหรือการฟอกเงิน อ้างว่ามีพัสดุตีกลับจากบริษัทขนส่งต่างๆ พัสดุมียาเสพติด/ของผิดกฎหมาย แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐฯ ให้แอดไลน์ หรือช่องทางติดต่ออื่นๆ เพื่อวิดีโอคอลคุยกับตำรวจปลอมที่ใช้เทคโนโลยี Deepfake ให้ภาพขยับแค่ปาก เพื่อหลอกเหยื่อว่าส่งของผิดกฎหมาย ที่ล้ำหน้ายิ่งกว่านั้น คือ การตั้งโปรแกรมควบคุมเครื่องระยะไกลโดยสิ่งลิงก์ให็เหยื่อกดเพื่อดูดเงินจากบัญชีธนาคาร เหล่านี้ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ข่มขู่ให้ตกใจ หวาดกลัว ง่ายต่อการชักจูงเหยื่อให้โอนเงิน

“ภัยร้าย” จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีผู้เสียหายมาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จำนวนมาก ทั้งที่เป็นเรื่องราวเดิมๆ ทั้งที่มีข่าวเตือนภัยตลอดเวลา แต่ทำไม ยังระบาดหนัก ความรุนแรงมากขึ้นไม่หยุดหย่อน ประเด็นที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สรุปได้จากประกาศ ของ กสทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบุชัดเจน ปัญหาใหญ่มาจากค่ายมือถือไม่สามารถจัดการลงทะเบียน SIM Card ให้ถูกต้อง จึงเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ จากการลงพื้นที่ตรวจสอบการลงทะเบียนซิมการ์ดผ่านตัวแทนจำหน่าย (ลูกตู้) หลายครั้ง พบผู้ใช้บริการ 1 รายสามารถลงทะเบียนเปิดใช้ซิมการ์ดกับตัวแทนจำหน่ายได้มากกว่า 5 เลขหมายเป็นจำนวนสูงมาก จึงได้แจ้งให้ผู้ประกอบการดำเนินการแก้ไขให้เรียบร้อยโดยเร็ว แต่... ก็ยังไม่เป็นผล นั่นจึงเป็นที่มาของมาตรการ กสทช.ที่เข้มข้น ขู่ปรับค่ายมือถือวันละ1ล้าน หากไม่สามารถจัดการลงทะเบียน SIM Card ให้ถูกต้องใน 30 วัน นับจากวันที่เริ่มเข้าสู่กระบวนการที่จะดำเนินการทางปกครอง คำสั่ง กสทช.ประเด็นนี้มีขึ้น วันที่ 6 กรกฎาคม 2565 แต่! มันไม่เคยได้ผล เพราะจนถึงปัจจุบันยังมีประชาชนตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก และตอนนี้ได้หันมาพุ่งเป้าที่ผู้สูงอายุถูกหลอกลวงเงินต่อรายหลักหลายล้านบาท ทำให้ล่าสุด กสทช.ออกประกาศร่วมกันสกัดกั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้ผู้ถือครองซิมการ์ดตั้งแต่ 6 เลขหมายขึ้นไป ต้องยืนยันตัวตนกับเครือข่ายซิมการ์ดถือครองอยู่ จนถึง 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา หากไม่ดำเนินการ เลขหมายจะถูกระงับบริการไม่สามารถโทรออก, ส่งข้อความสั้น (SMS) หรือใช้งานอินเทอร์เน็ต แต่แม้จะถูกระงับบริการแล้ว แต่หากเข้ามายืนยันตัวตนก็จะกลับมาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง

แต่มาตรการสกัดมิจฉาชีพด้วยวิธีนี้ จะใช้ได้ผลหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป เพราะแก๊งมิจฉาชีพใช้ ยังใช้เครื่องสัญญาณ IP PBX, เครื่องสัญญาณ Simbox, เครื่องส่งญาณไร้สาย wireless router,ใช้สัญญาณดาวเทียม STARLINK ถึงแม่หน่วยงานรัฐบุกทลายเพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ก็ทำได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น อีกทั้ง มิจฉาชีพปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อหลบหลีกการตรวจสอบอยู่ตลอด และต้องอย่าลืมว่าบางคนของหน่วยงานรัฐ และเอกชน ได้เอาข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนมาขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากเหตุเหล่านี้ คงพอเป็นคำตอบว่า ทำไมรัฐถึงปราบแก๊งอาชญากรรมออนไลน์ไม่สำเร็จ

จากต้นเหตุของภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สร้างผลกระทบและเป็นภัยต่อผู้บริโภค นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า ได้นำ เสนอข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง จากหลายเวทีระดมความคิดเห็น ขอให้ผนึกกำลังทำงานเชิงรุก เพื่อป้องกันและปกป้องประชาชนจากการตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพ โดยไม่ต้องรอให้เกิดความเสียหาย หรือ มีข้อร้องเรียนก่อนแล้วค่อยมาตามแก้ไขภายหลัง แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง แต่ในเมื่อภัยร้ายจากแก๊งมิจฉาชีพ ยังลุกลามบานปลาย การมาตั้งต้นใหม่ก็ยังไม่สาย

ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ธนาคารแห่งประเทศไทย ตำรวจไซเบอร์ เร่งบูรณาการรวมศูนย์ทำงาน แก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนเพื่อจัดการกับอาชญากรรมสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่มาตรการกวาดล้างโจรออนไลน์ให้สิ้นซาก อย่าปล่อยให้ประชาชนต้องช่วยเหลือตัวเองเหมือนในเวลานี้


ปรึกษา ร้องเรียน
สอบถามเพิ่มเติม