เหตุนี้ ! มีเรื่อง ... ทนายแสบทิ้งคดีทำโจทก์สูญที่ดิน
เขียนโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
เขียนเมื่อ: 07-03-2023 16:21
หมวดหมู่: ที่อยู่อาศัย

เหตุนี้ ! มีเรื่อง ... ทนายแสบทิ้งคดีทำโจทก์สูญที่ดิน
ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต !!! คำนิยามนี้ใช้ได้ดีเสมอในทุกสถานการณ์ และมันยังสามารถวิเคราะห์” คน “ ได้อีกด้วย คนดี และ คนไม่ดี มีปะปนอยู่ทุกวงการ ทุกสาขาอาชีพ แม้แต่ ทนายความ ... อาชีพที่รับจ้างว่าความให้ลูกความ ทั้งฝ่าย โจทก์ หรือ จำเลย จะแพ้ หรือ ชนะ ก็ขึ้นอยู่กับ หลักฐานที่จะหามายืนยันให้ศาลพิจารณาเพื่อพิพากษาชี้ขาด
แต่... เหตุนี้ ! มีเรื่อง ... เป็นบทเรียนที่ผู้เสียหายต้องจำฝังใจไปชั่วชีวิต นั่นเพราะ หลงไว้ใจว่าจ้าง “ทนายความ “ ให้มาสู้คดีเอาที่ดินมรดกซึ่งถูกคนอื่นแย่งไปกลับคืนมา แต่ท้ายที่สุด กลับถูกหักหลัง เพราะทนายแสบทอดทิ้งคดีมารู้ตัวเมื่อสายไปเสียแล้ว !!!
เรื่องราวเป็นมาอย่างไร! มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ถาม? ... ผู้เสียหาย เล่าย้อนเหตุการณ์ ว่า เมื่อปี 2558 ตอนนั้น ที่ดิน นส.3 ก. จำนวน 30 ไร่ ซึ่งเป็นมรดกตกทอด จาก พ่อ-แม่ ทำสวนปาล์ม มานับสิบปี จู่ๆ ถูกคนไม่รู้จัก มายึดเอาไปถึง 20 ไร่
อ้าว ! แล้วมายึดที่ดินของเราได้อย่างไร? ... นั่นเป็นเพราะว่า หลัง พ่อ-แม่ เสียชีวิต ไม่มีเวลาอยู่ดูแล หายไปครั้งละ 2-3 เดือน จึงกลับมาเป็นระยะ โดยว่าจ้างคนงานใช้รถแบ็คโฮปรับแต่งไถผืนดิน จนสวยงาม พอนายทุนในพื้นที่มาเห็นเข้า เกิดความโลภ อยากได้ของคนอื่น จึงสมคบคิดกับคนข้างบ้านของผู้เสียหาย ให้เป็นนายหน้าขายที่ดิน ส่วนนายทุนในพื้นที่ก็รับซื้อ อ้างว่า ไม่รู้ว่าที่ดิน มีเอกสารสิทธิ์ คิดว่า เป็นที่ดินมือเปล่า แต่จริงๆ รู้อยู่แก่ใจเพราะมาทำสวนผลไม้อยู่ติดกับที่ดินผืนนี้ พ่อของโจทก์ เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ส่วนแม่ ก็ทำสวนปาล์มในพื้นที่นี้ แน่นอน ย่อมเป็นที่รับรู้ของอำเภอ ที่ดินผืนนี้เป็นของโจทก์ มาตั้งแต่ต้น แต่คนที่มา เอาที่ดิน รู้ทั้งรู้ แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ส่วนคนเอาที่ดินไปขาย ก็เป็นลูกของเพื่อนพ่อ ที่เห็นกันมาตั้งแต่ เด็กๆ พ่อ-แม่ 2 ฝ่าย รู้จักกัน แต่ก็ยังมาทำแบบนี้ได้ ทำแบบหน้าด้านๆ
ที่รู้เรื่องนี้ เพราะมีคนรู้จักที่อำเภอโทรศัพท์มาบอก “ คนมาแย่งที่ดินเป็นนายทุนในพื้นที่
แล้วทีนี้ จะทำยังไง .. ต้องหาทนาย มาว่าความสู้คดี ( ผู้เสียหายคิดในใจ ) จัดการเสาะหา คิดแล้วคิดอีก ผ่านมา 2-3 คน ยังไม่ถูกใจ แต่สุดท้าย มาเจอคนที่ 4 ทั้งพี่ชาย กับ คนรู้จัก แนะนำมาให้ โปรไฟล์เริด มีดีกรีเป็นถึง อดีตประธานสภาทนายความจังหวัด ( แห่งหนึ่ง ในพื้นที่ภาคใต้ ) ถ้างั้น เอาทนายคนนี้แหละ แต่เพื่อให้แน่ใจ ไปส่องดูเฟซบุ๊ก เห็น โล่ประกาศเกียรติคุณ มีรูปถ่ายกับ คนดัง ๆ ดูโอ่อ่า น่าเชื่อถือ ในใจก็คิดว่า มีตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ เพราะต้องได้รับความไว้วางใจจากพวกทนายด้วยกัน จึงตัดสินใจว่าจ้าง ตามราคาที่ทนายเรียกร้อง ด้วยวงเงิน 17,800 บาท ซึ่งได้รับการแจกแจงว่า เป็นค่าทนายความ 5 พันบาท ค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียม 12,800 บาท จึงจัดการ โอนเงินผ่านธนาคาร เพื่อเก็บสลิปไว้เป็นหลักฐาน พร้อมตกลง เซ็นสัญญาว่าจ้าง หลังจากนั้น เอกสารคำฟ้องที่ทนายเป็นคนร่าง ซึ่ง เขียนแจ้ง ทั้ง วันไกล่เกลี่ย วันสืบคดีฝ่ายโจทก์ ก็ถูกส่งมาให้ลูกความทาง LINE แต่ด้วยความที่ผู้เสียหาย ไม่เคยมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล จึงไว้วางใจทนาย คนนี้ ... อุ่นใจว่า คดีได้ถูกดำเนินการส่งฟ้องถึงศาล ทว่า ไม่ได้สังเกตเลยว่า เอกสาร ไม่มีตราประทับรับฟ้องจากศาล !**
เป็นเรื่องเลยละสิทีนี้ เพราะเมื่อใกล้ถึงวันนัดไกล่เกลี่ยคู่ความ ( โจทก์-จำเลย ) วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2558 ทนายความ ได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า ศาลยุติไกล่เกลี่ย เพราะมีงานอื่นที่ยุ่งมาก ... ตรงนี้ ผู้เสียหาย ก็ยังไม่เอะใจ
พอใกล้ถึงวันที่ศาลนัดสืบคดีฝ่ายโจทก์ วันที่ 7 มีนาคม 2558 ทนายคนเดิม ก็โทรศัพท์แจ้งมาอีก ว่า ศาล มีคดีอื่นรอการพิจารณาอีกมาก จึงขอเลื่อนการสืบคดีที่ดินของผู้เสียหาย เป็น ตุลาคม 2558 พอใกล้ถึงกำหนด ทนายก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า ศาลเลื่อนไปวันที่ 15-16 ธันวาคม 2558 ... คราวนี้ ฝ่ายผู้เสียหาย เริ่มเอะใจ เห็นการเลื่อนเยอะขนาด เริ่มฉุกคิด มันผิดสังเกต
พอเดือนพฤศจิกายน 2558 จึงตัดสินใจเดินทางไปที่ศาลจังหวัด (แห่งหนึ่ง ) ซึ่ง ทนาย อ้างว่า ได้ส่งคดีฟ้อง เพื่อสอบถาม เจ้าหน้าที่ ปรากฏว่า โป๊ะแตก ถึงกับช็อก เมื่อได้คำตอบว่า “ ทนาย ทิ้งคดี “ โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า คดีนี้ ที่ผู้เสียหาย เป็นโจทก์ ศาลได้ยกฟ้อง ตั้งแต่ วันที่ 9 ธันวาคม 2558 ผู้เสียหาย จึงนำ คำกล่าวแก้ของฝ่ายจำเลย ที่ทนาย ส่งมาให้โจทก์ทางไลน์ มาโชว์ให้เจ้าหน้าที่ศาลดู คราวนี้ ถึงกับช็อกรอบ 2 เพราะได้คำตอบว่า เอกสารนี้ ไม่มีตราประทับของศาล ตอนนี้ กระจ่างแจ้งแก่ใจ ถูกทนาย หลอกกินเงิน แน่นอน (จำไว้ให้ขึ้นใจ หากศาลนัด ใดๆ ก็ตาม ต้องมีตราประทับ จากศาลทุกครั้ง )
เมื่อเป็นแบบนี้ ผู้เสียหาย จึงขอเจ้าหน้าที่ ดูคำฟ้อง จาก ศาล มีลายมือของผู้พิพากษา ระบุว่า ...“ ศาลมีคำสั่ง พิเคราะห์คำฟ้องและเอกสารท้ายคำฟ้องแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันบุกรุกแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ แต่เป็นไปในทำนองต่างคน ต่างเข้าครอบครองในพื้นที่คนละส่วนกัน มูลความแห่งคดีของจำเลยทั้ง2ไม่เกี่ยวข้องกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง2เป็นคดีเดียวกัน จึงยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสินโจทก์ ที่แยกฟ้องจำเลยเข้ามาใหม่ จึงคืนค่าศาลและค่าใช้จ่ายแก่โจทก์ หมายความว่า ศาลได้ให้โจทก์ ไปเขียนคำฟ้องเพื่อแยกฟ้อง เป็น 2 คดี แต่วัน - เวลา ก็ล่วงเลยแล้ว ซึ่งแย้งกับ ทนาย ที่หลอกลวง โจทก์ ว่า คดี ยังดำเนินอยู่
ทำไมที่ดิน นส.3 ก. ถึงมีคนแย่งไปได้ เพราะมัน ไม่มี “โฉนด” ไง“ แต่เป็นแค่ “การครอบครอง” โดยกฎหมายเปิดช่องให้มีการแย่งสิทธิ์การครอบครองภายใน 1 ปี เพราะฉะนั้น ใคร แย่งสิทธิ์ ได้ คนนั้นชนะ ... นี่ไง ! จึงเป็นความฉ้อฉล ของ ทนายความ คนนี้ คือ ใช้เล่ห์การยื้อเวลาให้เลย 1 ปี
อีกเรื่องที่เป็นประจักษ์พยาน อย่างชัดเจน นั่นคือ การเขียนคำฟ้อง ( ของทนาย จอมโกง ) ที่ว่า “ ต่างฝ่ายต่างเข้ามาครอบครองที่ดิน ) ทั้งฝ่ายผู้เสียหาย ( ฝ่ายโจทก์ ) ได้นำเอกสาร การครอบครอง ตั้งแต่รุ่น พ่อ-แม่ ซึ่ง ตอนนั้น ครอบครัว ยังใช้รถแบ็คโฮ ขุดดินปรับพื้นที่ เพื่อปลูกต้นปาล์ม มีภาพถ่ายทุกขั้นตอน ระบุ วัน-เวลา ชัดเจน ตั้งแต่ ปาล์ม ยังต้นเล็ก จนเติบใหญ่ เป็นระยะเวลานาน7-8 ปี แต่ทนาย กลับเขียนคำฟ้องว่า ผู้เสียหาย กับ อีกฝ่าย แย่งกันครอบครองที่ดินมือเปล่า
สิ่งสำคัญ มากๆ นั่นคือ ศาล เขียนว่า มีจำเลย 2 คน แย่ง มาครอบครองที่ดินกับผู้เสียหาย แต่ ทนาย กลับเขียนคำฟ้อง เป็นสำนวนเดียวกัน ... ศาล จึงแย้งว่า เป็นคนละคนกัน จึงยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิ์ที่จะแยกฟ้อง จึงให้เขียนคำฟ้องเข้ามาใหม่ ซึ่งประเด็นนี้ ยิ่งชัดเจน หากทนาย จอมโกง สุจริต จริง ทำไม ไม่เขียนแยกฟ้องมาใหม่ ตามที่ศาล สั่ง เพราะถ้าเขียนใหม่ ก็ยิ่งได้เงิน
คำฟ้องแบบนี้ ของ ทนาย จอมโกง เมื่อเอาไปให้ผู้มีความรู้ด้านกฏหมายดู ต่างฟันธง ตั้งใจ อยากให้ศาลยกฟ้องคดีนี้ เพราะไม่ได้เป็นคุณแก่โจทก์เลย อีกทั้ง เอกสารการครอบครองที่ดินของโจทก์ รวมถึง ใบแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ( สมัยที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ) เพราะมีคนมาลักตัดปาล์มในที่ดิน ) ได้ส่งให้ทนายจอมโกง ทั้งหมด มารู้ว่า ทนาย ทิ้งหลักฐานสำคัญทั้งหมด ไม่ยอมแนบขึ้นฟ้องในชั้นศาล แสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์ต่อ โจทก์ที่เป็นผู้ว่าจ้าง ... แล้วก็คงคิดว่า ผู้เสียหาย ไม่กล้าฟ้องกลับ
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้เสียหาย ได้รับผลกระทบ เพราะคดีหมดอายุความ ต้องสูญเสียที่ดินมรดก ( นส.3 ก.) แก่ผู้เข้ามาครอบครอง ถือเป็นความเสียหายใหญ่หลวงมาก เพราะเป็น สมบัติที่พ่อ-แม่ สร้างไว้ให้ เคยจำได้ว่า แม่ เคยพาไปที่เที่ยวที่ดินแห่งนี้ มาร่วมกันปลูกสวนปาล์ม เป็นความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ ผู้เสียหาย บอกว่า ที่ดิน ซึ่งถูกแย่งไป เป็น นส.3 ก. จึงมีอายุความแค่ 1 ปี
( ข้อมูลเสริม จาก กรมที่ดิน : หากใครต้องการซื้อหรือขายที่ดินประเภท นส. 3 ก. ยังสามารถจดทะเบียนซื้อหรือขายได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้มีการประกาศจากทางราชการ 30 วัน – ส่วนในกรณีที่ที่ดินประเภท นส. 3 ก นี้เปลี่ยนเป็นโฉนด และไม่มีข้อกำหนดห้ามโอนใดๆ ตามกฎหมาย ก็สามารถทำการซื้อหรือขายได้ทันทีเช่นกัน )
เมื่อรู้ว่าโดนหลอกชัดเจนแล้ว ผู้เสียหาย จึงรวบรวมเอกสาร และ copy ข้อความทั้งหมด ที่มีการตอบโต้กับ ทนายจอมหลอกลวง ผ่านทางไลน์ เพื่อจัดการเขียนคำร้องเรียน และ เดินทาง ไปยื่นที่ สภาทนายความ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559
ต่อมา 30 มกราคม 2560 มีหนังสือตอบกลับจากสภาทนายความ ด้วยข้อความว่า ... จากการตรวจสอบประวัติแล้ว ทนายความ ที่ถูกร้องเรียน ( กล่าวหา ) เป็นทนายความประเภท 2 ปี ใบอนุญาตหมดอายุ วันที่ 26 ตุลาคม 2559 ไม่ปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหา ยื่นขอต่อใบอนุญาต แต่ประการใด ดังนั้น เท่ากับ ไม่มีสถานภาพเป็นทนายความ จึงไม่รับคำกล่าวหา ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 51 จึงจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จบกัน สภาทนายความ บอกแบบนี้ ...เมื่อปรึกษาผู้ที่รู้จัก ได้แนะนำให้ไปรับคืน “ ค่าธรรมเนียมศาล ”
และแล้ว วันที่เดินทางไปศาลจังหวัด... ประมาณเดือนกุมภาหรือมีนา2560 เพื่อขอรับคืนค่าธรรมเนียมศาล “ งานนี้ ยิ่งกว่าโป๊ะแตกอีก เมื่อเจ้าหน้าที่ศาล โวยวาย ว่า เป็นหน้าที่ของทนาย ต้องเป็นคน มาเดินเรื่อง พอผู้เสียหาย แจ้งว่า ทนายความ ทิ้งคดีไปแล้ว .เจ้าหน้าที่ศาล ถึงกับร้องด้วยความแปลกใจ ... พร้อมบอกเรื่องที่ทำให้ผู้เสียหายแปลกใจยิ่งกว่า ... เพราะ ทนายความ คนนี้ ยังมาว่าความที่ศาลอยู่เลย ! แถม ค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียม ที่ผู้เสียหายได้คืนจากศาล ได้ประมาณ 4 พันบาท.. ส่วนต่างหายไปไหน 8,800 บาท เพราะทนายเก็บเงินไป 12,800 บาท
เมื่อผู้เสียหาย เดินเข้าไปดูที่ห้องพักทนายความ บริเวณศาล ก็ยังมีชื่อทนายความ จอมหลอกลวง ปรากฏชื่อพร้อมภาพถ่ายติดอยู่ในห้องนั้น งานนี้ ผู้เสียหายไม่ละความพยายาม ไปสืบเสาะหาใบคำขออนุญาตประกอบวิชาชีพทนาย หรือ ที่เรียกว่า “ ตั๋วทนาย “ เมื่อได้หลักฐานพร้อม จึงทำหนังสือ ส่งไปที่ สภาทนายความ อีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 เพื่อแย้งเรื่องที่อ้างว่า ทนายคนนี้ ตั๋ววิชาชีพหมดอายุ เพราะมีรายชื่อประกอบภาพติดอยู่ที่หน้าห้องพักทนายความ ที่ ศาลจังหวัด ( แห่งหนึ่ง ) ซึ่งเป็นสถานที่ ฟ้องคดี
ปรากฏว่า 25 พฤษภาคม 2560 ได้หนังสือตอบกลับจากสภาทนายความ ว่า “ พิจารณาเอกสารของท่าน ประกอบกับคำชี้แจงของนายทะเบียน ของ สภาทนายความ แล้ว เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหา ยังคงมีสถานภาพทนายความ ดังนั้น ที่มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ “เป็นคำสั่งที่ผิดหลง” จึงให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และ มีคำสั่งใหม่ เป็นว่า กรณีมีเหตุอันสมควร ให้สอบสวนคดี “ มรรยาททนาย ให้รับเป็นคำกล่าวหา “
กระทั่ง 10 พฤศจิกายน 2560 มีหนังสือจากคณะกรรมการสอบสวนคดีมรรยาท สภาทนายความ ให้ผู้เสียหายไปทำการ นัดพร้อม เพื่อพิจารณาประเด็นการสอบสวน แต่ผู้ถูกกล่าวหาก็ยังไม่ยอมมาเผชิญหน้า ผู้เสียหาย แจ้งว่า เมื่ออีกฝ่าย ที่ถูกกล่าวหา ไม่ยอมมา ตามคำเชิญ ก็ให้เดินหน้าสอบไปเลย แต่ฝั่ง สภาทนายความ ยืนกราน ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหารวม 2 ครั้ง
จากเหตุนี้เอง ทำให้สถานการณ์เยิ่นเย้อ ยาวมาถึง 27 กันยายน 2561( นานเกือบ 1 ปี ) โดย ท่าที ของ “คณะกรรมการมรรยาททนายความ” ที่ ยื้อเวลา ไม่เอาผิดทนายความที่กระทำผิด และ โยกโย้ ไม่ยอมส่งเอกสารคำตัดสินทนายความที่ถูกร้องเรียน มาให้ อ้างว่า ครั้งแรกส่งไปที่อยู่เดิมแล้ว แต่ผู้เสียหายเคยทำเรื่องแจ้งการเปลี่ยนที่อยู่ไปก่อนจะมีผลออกมา
ไม่ได้การล่ะ ผู้เสียหาย จึงตัดสินใจ มาขอความช่วยเหลือจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ขอให้ช่วยผลักดัน จนเป็นผลสำเร็จ โดย ได้รับทราบคำสั่ง ของ คณะกรรมการมรรยาททนายความ ที่มีมติ เสียงข้างมาก ลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ห้ามทำการเป็นทนายความ มีกำหนด 3 ปี ตามพระราชบัญญัติทนายความพ.ศ. 2558 มาตรา 52 ( 2 ) พร้อมยอมส่งเอกสารคำสั่งมาให้ใหม่
เห็นอะไรกับการทำงานของสภาทนายความกันไหม ?
1.ทนายที่หลอกลวงโจทก์ ยังว่าความในศาล แต่ สภาทนายความ อ้างว่า ตั๋วทนายหมดอายุไปแล้ว 2 ปี ไม่มีคำขอต่อใหม่
2.ผู้เสียหายได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ศาล ทนายที่หลอกลวงยังทำงานว่าความทุกวัน เจ้าตัวจึงตรวจสอบในห้องพักทนายที่ศาล และ สภาทนายความ พบรูปติดหรา
3.เมื่อผู้เสียทำเรื่องแย้งว่าทนายหลอกลวงยังทำงานว่าความที่ศาล สภาทนายความ จึงตอบกลับแค่ว่า “มีคำสั่งผิดหลง” เป็นไปได้ยังไง !
- “ ช่วยเหลือกันเพื่อยื้อเวลา เพื่อให้ผู้เสียหาย หมดแรง
- มองภาพได้เลยว่า ประชาชนทั่วไปหมดสิทธิ์
- “ วิชาชีพ เดียวกัน “ ใช้คำนี้ จึงไม่กล้ารับฟ้องร้องพวกเดียวกัน
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ถามว่า ทำไม ตอนเกิดเหตุ ไม่ฟ้องเอาผิดทนายที่หลอกลวง ผู้เสียหาย บอกว่า ได้ต่อทนายประมาณ 3 คน แต่ไม่มีใครยอมรับว่าความ โดยใช้คำพูดสุดปวดใจ ว่า “พวกเราทำงานวิชาชีพเดียวกัน “ พอได้คำตอบแบบนี้ จึงรู้สึกผิดหวัง - หมดหวัง
ด้วยความที่ผู้เสียหาย รู้สึกเจ็บใจ เจ็บปวดมาก ทั้งโดนคนมาแย่งของ ยังจะโดน ทนายความ หลอกลวง ซ้ำเข้าไปอีก แถม สภาทนายความ ยังมาซ้ำ 3 อ้างว่า ทนายคนนี้ ไม่ได้ต่ออายุ ตั๋วทนาย ทั้งที่ณ เวลานั้น ที่ให้คำตอบกับผู้เสียหาย ทนาย จอมโกง ยัง ขึ้นว่าความในศาล อยู่เลย
ส่วนทนายจอมหลอกลวง โดนแบน 3 ปี ( ครบกำหนดปี 2565 ) เพราะออกคำสั่ง กันยายน ปี 2562 ผู้เสียหาย เปิดใจว่า ถ้าให้พูดตรงๆ แม้คนถือกฎหมายในมือใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงคนอื่นให้ได้รับความเสียหาย จะเอาผิดไม่ได้ เพราะมีพวกพ้องช่วยเหลือ แล้วก็รู้ว่ามาว่า มีหลายคนถูกหลอกแบบนี้ รวมถึงพี่ชายตัวเองด้วย ...แต่ว่า บางคนที่ถูกหลอก เป็นตาสี ตาสา ที่ไม่รู้หนังสือ ก็ไว้เนื้อเชื่อใจ ทนายคนนี้ เขาคงไม่รู้ถึงขั้น ขอเอกสารคำฟ้อง เอามาตรวจสอบ หรือ ถามว่า เมื่อไหร่ จะขึ้นศาล แต่เมื่อรู้ว่าถูกหลอก ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่.. กฎแห่งกรรม ไม่เข้าใครออกใครเพราะทนายคนนั้น เจอโรคเก๊าท์รุมเร้า สารรูปหมดสภาพทนายความผู้ยิ่งใหญ่**
ผู้เสียหาย บอกว่า เรื่องนี้แม้ผ่านมาเกือบ 10 ปี แต่จำฝังใจ อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง เพราะแม้แต่ ทนายความ ซึ่งเป็นวิชาชีพ ที่ต้องช่วยเหลือลูกความที่เดือดร้อน ต้องเสียเงินว่าจ้าง เพื่อให้ดำเนินการทางคดีในชั้นศาล แต่กลับใช้เล่ห์กลหลอกลวงไปสมคบกับฝ่ายจำเลย ส่วน สภาทนายความ แค่ ตรวจสอบข้อมูลตื้นๆ ยังบอกว่า ผิดหลง เจอ แบบนี้ ก็ไม่อาจไว้างใจให้ได้อีก ความเชื่อถือ
จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับโจทก์ มีสิ่งที่อยากขมวดทิ้งท้าย ถึงแม้ไม่ได้ที่ดินกลับคืนมา แต่อย่างน้อย ให้สังคม ได้รับรู้ ว่า อย่าไว้วางใจคนที่เราว่าจ้าง ต้องคอยตรวจสอบตลอดเวลา และ ต้องศึกษาขั้นตอนกระบวนการของศาล ปล่อยให้ใครใช้เล่ห์เหลี่ยมมาหลอกเราได้
เครดิตเรื่อง : ผู้เสียหายถูกแย่งที่ดิน
ข้อมูลเพิ่มเติม
สำหรับ น.ส. 3 ก. หรือ ครุฑเขียว นั้น คือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน โดยออกให้ในท้องที่ที่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ โดยเป็น 1 ใน 3 ประเภท ที่แยกย่อยออกมาจาก นส. 3 หรือในชื่อเต็มว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ซึ่ง นส. 3 นั้นจะเป็นหนังสือคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าเราได้ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว ...
น.ส. ๓ ก. ออกในท้องที่ที่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ โดยมีการกำหนดตำแหน่งที่ดินในระวางรูปถ่ายทางอากาศ (นายอำเภอท้องที่เป็นผู้ออกให้)
5 ความแตกต่าง ระหว่างสิทธิในที่ดิน 3 ประเภท ( โฉนด นส.3ก และ สปก.4-01) https://www.closelawyer.com/16446383/5-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97-%E0%B9%82%E0%B8%89%E0%B8%99%E0%B8%94-%E0%B8%99%E0%B8%AA3%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%814-01
มารู้จักเอกสารสิทธิเกี่ยวกับ "ที่ดิน" กันดีกว่า
เว็บไซต์กรมที่ดิน
https://www.dol.go.th/Pages/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99.aspx คำเตือน
เอกสารสำคัญทั้งหมดนี้แม้จะแสดงถึงการเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าบุคคลอื่นแล้วก็ตาม ถ้าหากท่านปล่อยที่ดินให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่ทำประโยชน์ในที่ดิน กล่าวคือ ถ้าเป็นที่ดินที่โฉนดที่ดิน ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 10 ปี และที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน ๕ ปีติดต่อกัน ที่ดินดังกล่าวจะต้องตกเป็นของรัฐตามกฎหมาย หรือถ้าหากปล่อยให้บุคคลอื่นครอบครองโดยสงบเปิดเผย โดยมีเจตนาเอาเป็นเจ้าของโดยท่านไม่เข้าขัดขวาง สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดินเป็นเวลา ๑๐ ปีติดต่อกันบุคคลที่เข้าครอบครองนั้นก็จะมีสิทธิไปดำเนินคดีทางศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบครองได้
ที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. น.ส.๓ ข) ใช้เวลาแย่งการครอบครองเพียง ๑ ปีเท่านั้น ท่านก็จะเสียสิทธิ ดังนั้นเมื่อที่ดินของท่านมีเอกสารสำคัญดังกล่าวอยู่แล้ว ก็ควรทำประโยชน์และดูแลรักษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินก็จะเป็นของท่าน และเป็นมรดกที่มีค่าให้แก่ทายาทของท่านต่อไป
การออกโฉนดที่ดินตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ดำเนินการได้ 2 วิธี คือ
การเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินที่มีการรังวัดปักหลักเขต (ตามมาตรา 58 และ 58 ทวิ แห่งประมวล กฎหมายที่ดิน) *การเปลี่ยน น.ส. 3 ก. เป็นโฉนดที่ดิน https://www.dol.go.th/Pages/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99.aspx
ซื้อที่ดิน น.ส.3 ก. ภายหลังผู้ขายเอาไปออกโฉนดอีก ใครมีสิทธิดีกว่ากัน? https://www.closelawyer.com/17246933/%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%AA3-%E0%B8%81-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99