กัญชาเสรีปั่นป่วนในสภาวะสุญญากาศ !
เขียนโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
เขียนเมื่อ: 09-09-2022 10:22
หมวดหมู่: อาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ









กัญชาเสรี ปั่นป่วน ใน สภาวะ สุญญากาศ !
ปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด ให้ครัวเรือนปลูกได้ ขายกันอย่างเสรี เปิดทางให้คนเสพเข้าถึงได้ทั่วไป คนขายที่เคยอยู่ใต้ดินได้ขึ้นมาหายใจ แต่สิ่งที่ตามมานั่นคือ ตัวเลขผู้ป่วยจากกัญชาเพิ่มมากขึ้น
แรงกระเพื่อมขยายเป็นวงกว้าง ... เกิดอะไรขึ้น ? นับตั้งแต่จุดเริ่มที่ รัฐบาล ประกาศ ปลดล็อก ถอดจาก ยาเสพติดประเภทที่ 5 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 9 มิถุนายน 2565 ตามประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา
ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองไทย ที่ถอดกัญชาออกจากยาเสพติด ทำให้สามารถนำ “ช่อดอก, ใบ , เปลือก, ลำต้น,เส้นใย,กิ่งก้าน และ ราก ใช้เป็นส่วนผสมของอาหารอย่างแพร่หลาย ตามประกาศของ “กรมอนามัย “ เรื่อง การนำใบกัญชามาใช้ในการ ทำ ประกอบ หรือ ปรุงอาหาร ในสถานประกอบกิจการอาหาร พ.ศ.2565 โดยกำหนดให้สาร “เตตร้าไฮโดรแคนนาบินอล( Tetrahydrocannabinol : THC) หรือ สารที่มีฤทธิ์มึนเมา ต้องไม่เกินร้อยละ 0.2
อีกทั้งยังได้ยกเลิกความผิดฐานผลิต นำเข้า หรือส่งออก ครอบครอง จำหน่าย รวมถึงสูบ การปลูกกัญชา แม้ไม่ต้องขออนุญาต แต่ประชาชนยังต้องทำการจดแจ้ง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้จัดทำแอพพลิเคชัน ปลูกกัญ เพื่อช่วยให้มีช่องทางที่สะดวกรวดเร็ว
เมื่อกฎหมายยกเลิกความผิดของกัญชา ผู้ต้องขังและผู้ต้องหาคดีกัญชา จึงไม่เป็นผู้กระทำความผิด และได้รับการปล่อยตัว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย ได้ดำเนินการตามนโยบายเช่นกัน
ทว่า การ “ปลดล็อก” ไม่ได้หมายความว่า ถูกถอดออกจากฤทธิ์เสพติด แต่หมายถึงการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ภายใต้กรอบกฎหมาย เพราะแม้กัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ “โทษ” ยังไม่หายไปโดยเฉพาะ “ช่อดอก” หรือ “ดอก” ไม่ควรนำมาปรุงอาหาร เพราะมีสาร THC (ทีเอชซี) ที่ฤทธิ์มึนเมาสูง
ที่สำคัญ กัญชา ยังไม่เสรี 100% เพราะยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกหลายฉบับ ควบคุมอยู่ นับจากวันนั้น ได้เกิดกระแสความวิตกในประเด็นต่าง ๆ เป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ถึงแม้ ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัย
แต่ ประเด็นคือ การเข้าถึงของคนป่วยที่ควรได้ใช้ กลับไม่ได้ใช้ กลับกลายเป็นคนไม่ป่วย ที่เข้าถึง อย่างง่ายดาย ยิ่งกว่าซื้อขนมในร้านขายของชำ กลายเป็นข้อกังวลของการใช้กัญชาในอาหาร เพราะบางสินค้าไม่มีฉลากแจ้ง ทำให้หลายๆ คนเกิดอาการแพ้ เกือบเสียชีวิตจนมีข่าวน่าตกใจ ตามมาอย่างต่อเนื่อง มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว
เด็ก3ขวบเศษ เผลอกินบราวนี่ผสมกัญชา ต้องแอดมิทเพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
3วัยรุ่นท้าลองกินคุ้กกี้กัญชาเกิดแพ้หนักถูกหามส่งโรงพยาบาล
พริตตี้กินคุ้กกี้ผสมกัญชาอาการสาหัส
อึ้ง ! พบเด็ก 9 ขวบ ทดลองสูบดอกกัญชาอ้างไม่ใช่ยาเสพติด – เลียนแบบยูทูบทำบ้องใช้เอง
นักเรียนทั้งแอบขายและแอบสูบกัญชาในโรงเรียน
ร้านค้าหลายแห่ง ไม่ติดป้ายแจ้ง ผสม หรือ ไม่ผสมกัญชา
เพจชมรมแพทย์ชนบทเปิดเผยภาพ พร้อมกับระบุว่า "กัญชาอัดแท่งยังมีขาย แขวนโจ่งแจ้งราวกับขนมถุงร้านชำ"
ตรอกข้าวสารกลายเป็นจุดวางขายกัญชาอัดแท่งวางบนแผงแบบไม่ต้องหลบซ่อนถึงขนาดมีคนเสนอให้เป็น HUB กัญชา เพื่อนันทนาการ กันเลยทีเดียว
ผู้ประกอบการใหญ่บางราย ถึงขนาดตั้งตู้ขายใบและดอกกัญชา
จากเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้ ทั้งแพทย์จากหลายหน่วยงาน -องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค พากัน ออกแถลงการณ์ออกแถลงการณ์ เรียกร้องรัฐบาล ปิดสภาวะกัญชาเสรี ทันที
ต้องหยุดสภาวะสุญญากาศเสรีกัญชา !
นี่เป็นความเห็นของ นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ เลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย ที่เสนอให้รัฐบาล เร่งจัดการ เพราะเวลานี้สังคมกำลังสับสนกับภาวะสุญญากาศในการกำกับดูแลกัญชา โดยมี 2 ประเด็น ได้แก่ การใช้กัญชาเพื่อนันทนาการ ผิดกฎหมายหรือไม่ จะแก้ไขอย่างไร แต่จุดที่น่าเป็นห่วงมากกว่า นั่นคือ กลุ่มอาหารปรุงสำเร็จที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด ที่ขาดหน่วยงานลงไปกำกับดูแล
กัญชาเสรีทำแบบไร้การควบคุมจึงเกิดปัญหาในข้อกฎหมาย
นาย ไพศาล ลิ้มสถิต กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้ประเด็นนี้ ถึงแม้ กัญชา ถูกปลดออกจากการเป็นยาเสพติด แต่ยังถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาจะต้องขออนุญาตทุกกรณี แต่จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีการอนุญาต นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของประกาศควบคุมกัญชาที่ดูเหมือนจะมีปัญหาในทางกฎหมายให้ต้องพิสูจน์กันต่อ
“ผมไม่เห็นด้วยว่าเราจะกระโจนไปสู่การใช้กัญชาเพื่อนันทนาการในระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็มันก็มีข้อควรระวังเยอะแยะที่จะเปิดให้ใช้กัญชาโดยทั่วไป ข้อกังวลเหล่านี้มีเหตุมีผลมีหลักฐานทางวิชาการและควรรับฟัง มันจะเป็นประโยชน์มากถ้าสามารถรวบรวมหรือทำให้คนหรือภาคีต่างๆ ในสังคมที่เขาสนใจเรื่องนี้มาช่วยกันคิด ช่วยกันทำให้กฎหมายและการควบคุมเป็นไปอย่างที่ทุกฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน” นี่เป็นการประกาศท่าทีจาก เภสัชกร ยงศักดิ์ ตันติปิฎก นักวิชาการและนักวิจัยระบบภูมิปัญญาสุขภาพ รองประธานมูลนิธิพัฒนาการแพทย์แผนไทย >
5 กันยายน 2565 มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายกัญชาของประเทศไทย ซึ่งออกโดย แพทยสภา , แพทยสมาคม , และ ราชวิทยาลัยต่างๆ 15 แห่ง “สิ่งที่เสนอให้รัฐบาลทำมี 3 เรื่องดังนี้
- เน้นให้ประชาชนใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างถูกวิธี
- คัดค้านการใช้กัญชาเพื่อการนันทนาการ
- มีกลไกที่จะยังยั้งการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการอย่างชัดเจน”
อ่านเพิ่มจาก เพจ Smith Fa Srisont (นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ กรรมการแพทยสภา และ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย )
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0nnLz5GMLhRckMQuNuEV26ukhndUJpd1LsqkB5km2RTNsq62YtKwJdw2bbtouEoesl&id=100001957212970
กฎหมายควบคุมกัญชา ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตอนนี้ ยังเป็นเพียง “ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง (ฉบับที่…) พ.ศ. หลังจาก สภาผู้แทนราษฎร ลงมติรับหลักการ วาระแรก เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ต้องจับตา การลงมติ ในวาระ 2 – 3 วันที่ 14 กันยายนนี้ เพื่อส่งต่อวุฒิสภา ไฟเขียว ออกมาเป็นกฎหมาย
นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง (ฉบับที่…) พ.ศ. ..... บอกว่า ร่างกฎหมาย ถูกปรับเพิ่มเป็น 95 มาตรา ผ่านการรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างสมบูรณ์เป็นประโยชน์ทุกมิติ ในส่วนของกัญชาจะคุมสัดส่วน “ ช่อดอก ” เป็นกรณีพิเศษ ส่วนการจดแจ้งของสถานพยาบาลทั้งหมด สามารถปลูกเพื่อรักษาคนไข้เฉพาะราย เป็นเสรีทางการแพทย์อย่างแท้จริง ขณะที่การขอนุญาตต้องเป็นคนไทยหรือนิติบุคคลไทย โดยไม่เปิดช่องให้นิติบุคคลต่างชาติ ดังนั้น จะเป็นประโยชน์สำหรับคนไทยทุกคน อีกทั้งร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้การประกอบธุรกิจกัญชา กัญชง เป็นไปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และไม่ให้ผูกขาดของกลุ่มทุน ฉะนั้น ขอให้ประชาชนวางใจว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ ผ่านการพิจารณามาอย่างรอบคอบรัดกุม จึงคาดหวังให้ สภาผู้แทนราษฏร ลงมติ รับหลักการ สนับสนุน และ สมาชิกวุฒิสภา ( ส.ว. ) จะพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง ได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศ จึงมั่นใจว่ากฎหมายฉบับนี้จะดีกว่าสถานภาพปัจจุบันอย่างแน่นอน