เหตุนี้ ! มีเรื่อง ... “ขายตรง ขายฝัน ลวงเด็ก
เขียนโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
เขียนเมื่อ: 22-05-2023 14:02
หมวดหมู่: อื่นๆ

เหตุนี้ ! มีเรื่อง ... “ขายตรง ขายฝัน ลวงเด็ก “
-อยากรวยมั้ย ? นี่! มีตัวอย่างจากคนนี้ๆ อดีตเคยจน เคยเหลือเงินติดตัวไม่ถึง 20 บาท แต่เห็นอนาคตที่นี่ เลยตัดสินใจขายควายมาสมัครเป็นสมาชิก ตอนนี้มีเงินเป็น 100 ล้านบาทเลยนะ รวยได้เพราะทำธุรกิจขายตรงนี่ละ
-รู้จัก passive income มั้ย ธุรกิจขายตรง ให้เรามีเงินได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไปนั่งเป็นพนักงานประจำทำงานหลังขดหลังแข็ง แต่ได้เงินเดือนไม่กี่บาท แถมได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก จากนั้น ก็ฉายภาพแหล่งท่องเที่ยว แล้วก็บรรดาแม่ทีมพากันไปเที่ยวแบบกินหรู อยู่สบาย
-โฆษณาผ่านโลกสื่อสังคมออนไลน์ว่า ขายแล้วรวย เสียเงินสมัครทำธุรกิจขายตรง หลักพันถึงหลักแสนและหลายแสน แต่พอนำสินค้าไปขายกลับขายไม่ได้ ผู้เสียหายร้องเรียนถึงพฤติกรรมของผู้ชักชวนที่ไม่ได้เน้นการขายสินค้า แต่เน้นให้หาสมาชิกมาสมัคร โดยโฆษณาว่าขายแล้วรวย มีพฤติกรรมหลอกลวง ขายฝัน โชว์รถหรู หลายสิบคันมาจอดอยู่หน้าบริษัท
-ธุรกิจนี้เป็นสินทรัพย์ที่สามารถส่งต่อไปยันชั่วลูกชั่วหลานเชียวนะ ลองคิดดูดีๆ ส่งต่อความสำเร็จ ที่เรากรุยทางไว้แล้ว
นี่เป็นแค่ตัวอย่าง “มุก “ ประจำของบรรดาแม่ทีม'ธุรกิจขายตรง'ที่เอาไว้ใช้หลอกล่อเหยื่อที่อยากรวย คำพูดเชิญชวนเหล่านี้กลายเป็นเหยื่อชั้นดี ค่อย ๆ สะกดจิตให้หลงเชื่อ เพราะ“เวลาเราเห็นความมั่งคั่งของคนอื่น มักจะมีเป็นความฝันของเราเสมอ”
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา ตราบใดที่เราอยากรวยเหมือนคนอื่น แน่ล่ะ! ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ แต่ปัญหาอยู่ที่ต้องซื้อสินค้าของบริษัทเพื่อสมัครเป็นสมาชิกในราคาค่อนข้างสูง จากหลักหมื่นถึงหลักแสน และ อาจเป็นหลักหลายแสน ทว่า บางคนยอมทุ่ม โดยมีสินค้ามาอยู่ในมือเอาไว้ขายต่อกับคนที่เรารู้จัก แต่... มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ !
บรรดาผู้ใหญ่อายุ 21 ปีขึ้นไปที่บรรลุนิติภาวะ มีงาน มีเงินเดือน ยังไม่น่ากังวลเท่าไหร่ แต่กับนักเรียน – นักศึกษา วัยไม่เกิน 20 ปี นี่สิถูกชักชวนให้สมัครอ้างว่า จะมีรายได้หลักหลายหมื่นต่อเดือน บางคน บอกว่า ไม่มีเงินค่าสมัครแรกเข้า แต่ผู้แนะนำจะพาไปจำนำสิ่งของ หรือแนะให้กู้เงินนอกระบบ
**เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง ผู้คนพากันไปร้องเรียน กับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีเด็กวัย 17 ปี ตกเป็นเป้าถูกชักชวน แต่ไม่มีเงินค่าสมัคร จึงไปกู้เงินนอกระบบ และโดนตามทวงหนี้ตลอดเวลา เพราะเงินที่เอาไปสมัครได้เพียงสินค้า มาอยู่ในมือแต่ ... ขายไม่ได้ ! **
แล้วเหตุการณ์แบบนี้ ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อนักศึกษาหญิงวัย 17 ปี รายหนึ่ง ได้รับการชักชวน จาก UP LINE ของบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่สัญชาติตะวันตกรายหนึ่ง ( ไม่ใช่ แชร์ลูกโซ่ ) มีการชี้ชวนขายฝัน จะได้เม็ดเงินมหาศาลจากงานนี้ ด้วยความที่เด็กอยากหารายได้ จึงไปปรึกษาคุณพ่อเพื่อขอเงินเพื่อสมัครสมาชิก 1,500 บาท โดยพาเพื่อนต่างมหาวิทยาลัย ที่เป็น UP LINE มาช่วยคุย บอกว่า อยากขายสินค้า จำพวก เครื่องกรองน้ำ และ เครื่องฟอกอากาศ ราคา 4-5 หมื่นบาท, อีกตัว เป็นคอร์ส ดูแลสุขภาพ ราคา 1-5 หมื่นบาท วันนั้น จำได้ว่าต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่เป็นจุดเริ่ม
คุณพ่อได้ฟังแบบนี้ ฟันธงเลยว่า สินค้าราคาขายหลายหมื่นบาท เด็กอายุ 17 ปี ไม่มีทางขายได้ ไม่มีทางเลย จึงถามลูกไปว่าทำไมไม่ขาย ของเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปากกา ยาสีฟัน มันขายง่ายกว่า ถือเป็นการเพิ่มทักษะการพูดคุยเพื่อการขาย อันนี้ โอเค พอรับได้ แต่ลูกบอกอยากหาประสบการณ์ ..ในเมื่อเด็กเค้าคิดดีจึงไม่อยากปิดกั้น งั้นก็ลองดู อันนี้พูดด้วยปากเปล่านะ พร้อมกำชับห้ามจ่ายเงินซื้อคอร์สใดๆ เด็ดขาด
แต่สุดท้าย เกิดเรื่องจนได้! เมื่อต้นเดือนมกราคม 2566 คุณพ่อได้รับโทรศัพท์ที่อ้างว่า ลูกสาวไปกู้เงินนอกระบบ แต่ไม่ยอมชดใช้ เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ จึงเรียกลูกสาวมาสอบถาม จนยอมรับว่า ได้ซื้อคอร์สดดูแลสุขภาพราคา 15,000 บาท กับบริษัทขายตรงเจ้านี้ เพราะ UP LINE บอกว่า ในเมื่อยังไม่ซื้อของมาใช้เอง แล้วจะรู้คุณภาพของสินค้าเพื่อเอาไปบอกคนอื่นได้ยังไง พอได้คำแนะนำแบบนี้ ความที่อยากขายของได้ แต่ไม่กล้าขอเงินพ่อ จึงแอบไปกู้จากเพื่อนนักศึกษาเพื่อเอาเงินไปซื้อคอร์สลดน้ำหนักราคา15,000 บาท
“ ผมเพิ่งรู้ว่า ในระดับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง มีกลุ่มทวิตเตอร์ เด็กๆ ปล่อยเงินกู้กันเอง แต่ละคน ปล่อยกู้ 100 – 2,000 บาท ถ้าใครเดือดร้อนเรื่องเงินก็จะมาขอหยิบยืมกัน ซึ่งเงินจำนวน 15,000 บาท สำหรับเด็กๆ ถือว่ามากพอดู กว่าที่ลูกสาวจะกู้ยืมครบตามยอดนี้ ต้องกู้เงินจากเพื่อนมากถึง 40 ราย เอาแค่ดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้เรียกเก็บ 10 เปอร์เซ็นต์ ลองคิดดูว่าเงินมหาศาลขนาดไหน ยกตัวอย่างจากเจ้าหนี้ 1 คน ที่โทรศัพท์มาทวงหนี้บอกผมว่าลูกสาวคุณยืมเงิน 500 บาท ไม่จ่ายดอกเบี้ย 2 วัน รวมยอด 1,020 บาท นี่แค่เจ้าหนี้รายเดียวนะ.. คิดดูแล้วกันว่ามีเจ้าหนี้อีก 39 คน คิดดอกเบี้ยแบบนี้เหมือนกัน ลูกสาวผมแย่เลย โชคดีที่ลูกยอมมาคุยกับพ่อ ให้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ เมื่อพ่อไปเคลียร์กับเจ้าหนี้ทุกคน รวมเบ็ดเสร็จต้องจ่ายปิดหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 4 หมื่นบาท นี่เป็นยอดเงินที่ได้ลดหย่อนแล้วนะ ! แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น ลูกสาว ยอมรับว่า เมื่อไม่มีเงินจ่ายหนี้จึงถูกเพื่อนชักชวนให้เล่นพนันออนไลน์ พอลูกสาวบอกว่า เล่นไม่เป็น เพื่อนก็แนะ วิธีให้ไปเล่นตามเซียน เจอเว็บพนันกินเงินอีก 1 หมี่นบาท สรุปงานนี้ลูกสาวเจอค่าวิชาชีวิตจากธุรกิจขายตรง รวมเบ็ดเสร็จ 5 หมื่นบาท ยังดีที่พ่อตัดวงจรความเสียหายได้ทัน
คุณพ่อเล่าให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฟังว่า หลังจากเคลียร์เรื่องหนี้ของลูกสาวได้เบ็ดเสร็จ จึงจัดการโทรศัพท์ไปตำหนิบริษัทขายตรงที่สร้างปัญหา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นกระทำการเกินกฎหมายกำหนด ที่ห้ามเยาวชน อายุไม่เกิน 20 ปี ซื้อสินค้าราคาแพงด้วยเงินผ่อนโดยที่พ่อ-แม่ -ผู้ปกครองไม่อนุญาต ....คุณควรมีระบบป้องกันดีกว่านี้ ไม่ใช่ผลักภาระ มาให้พ่อ-แม่-ผู้ปกครอง แต่อีกฝ่าย บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่เค้า เป็นหน้าที่ผู้ปกครองที่ต้องดูแลกันเอง และอ้างว่ามีหลักฐาน เป็นสำเนาบัตรประชาชนของคุณพ่อที่มีลายเซ็นอนุญาตด้วย ... พอได้ฟังแบบนี้ ผมก็ของขึ้นเลย! ถามซัดกลับว่าฝ่ายคุณจะรู้ได้อย่างไร เป็นลายเซ็นผม ฝ่ายบริษัทขายตรง ก็บอกว่าถ้าอย่างงั้น เด็กก็ใช้เอกสารราชการปลอม คุณก็ไปฟ้องเอาผิดอาญา ลูกของคุณเอาเองสิ ! คุณพ่อบอกว่า เออเนอะ ช่างพูดมาได้ใครจะไปฟ้องลูกของตัวเอง งั้น .. แบบนี้ คุณก็ใช้ช่องโหว่นี้ โดยเอาตัวรอด อ้างว่า เด็กทำเอง ฉันไม่รู้เรื่องด้วย บริษัทขายตรงอย่างพวกคุณ ควรตรวจสอบเอกสารสำคัญให้แน่ชัด ฝ่ายขายตรงบอกว่าเอกสารมากมายขนาดนั้นไม่มีเวลาหรอก เขามีหน้าที่รับเด็กเป็นสมาชิก เท่านั้น ผมเลยตอกกลับไปว่า ในเมื่อไม่มีเวลาตรวจสอบ ก็ไม่ควรจับเด็กอายุไม่ถึง 20ปี เป็นเหยื่อ อีกฝ่ายยังบอกอีกว่า เดี๋ยวนี้เงิน1หมื่นบาทมูลค่านิดเดียว เด็กๆเขาก็มีสิทธิ์ไปหามาได้ ผมก็เลยซัดกลับไปว่า ไม่เกี่ยวเลย คุณอย่ามาอ้างแบบนี้ เพราะ กฎหมาย กำหนดไว้ชัดเจน “ การทำธุรกรรมใดๆ กับเด็กที่เป็นเยาวชน ต่ำกว่าอายุ 20 ปีลงไป ให้ถือว่า การนั้นเป็น “โมฆียะ” หากพ่อ-แม่ - ผู้ปกครอง เป็นผู้บอกเลิกสัญญา ซึ่งผมบอกเลิกไปแล้ว พร้อมเตือนไปว่า ผมเป็นทนายความ ผมรู้ข้อกฎหมายอย่างดี อีกฝ่ายจึงนิ่งไป ผมจึงเตือนอีกครั้ง อย่าใช้เด็กอายุไม่20ปี มาเป็น”หมาก”ทางการตลาด
“อยากถามหาความรับผิดชอบจาก บริษัทขายตรงรายนี้ การที่ลงมาเล่นกับเด็กอายุไม่เกิน 20 ปี ซึ่งถือว่า ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพราะพวกคุณรู้ดีว่า สินค่าราคาแพง เหล่านี้ ขายเองไม่ได้ ขายไม่ออก จึงใช้วิธี ให้เด็กมาขาย เพราะง่ายต่อการไปให้พ่อ-แม่-ญาติพี่น้อง ช่วยซื้อเป็นกลวิธีที่เรียกว่าการตลาด” ขายเชิงบังคับซื้อ” รู้มาว่าหลายครอบครัว ก็โดนแบบนี้ด้วยคำหวาน เอามาหว่านที่ว่า “เป็นนักธุรกิจ “ ถือเป็น “ การตลาดที่แย่มาก”
นี่เป็นความในใจของคุณพ่อที่บอกเล่าเรื่องราวกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หลังจากนำเรื่องมาร้องเรียน เมื่อถามว่า ในเมื่อคุณพ่อเป็นนักกฎหมาย มีอาชีพ ทนายความ “ ทำไม ถึงไม่ทำเรื่องฟ้องร้องบริษัทขายตรงแห่งนั้น
“ ถ้าฟ้องร้อง...เรื่องก็จบที่ครอบครัวผม เพราะฝ่ายที่ผิดเต็มๆ คือ บริษัทขายตรง ยังไงก็ยอมจ่าย เพราะขึ้นศาลยังไงก็แพ้ เพราะทำผิดกฎหมายเยาวชน ลงมาเล่นกับเด็กอายุไม่ถึง 20 ปี เพื่อหวังให้ บังคับขาย กับ พ่อ-แม่-ผู้ปกครอง ลองคิดดู หากขายได้ 2 เครื่อง ได้กำไร มหาศาล ส่วนเด็ก ก็เป็นหนี้ต่อไป ที่สำคัญ ผมอยากให้เรื่องที่เกิดกับลูกสาวของผม เป็นเหตุสะกิดใจ ให้สังคม ได้ร้องเอ๊ะ และหาทางปกป้องเด็ก ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ดังนั้น “ที่ผมไม่ยอมจบเรื่องนี้กับบริษัทขายตรง แล้วนำเรื่องมาร้องเรียนต่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพราะผมอยากปกป้องเด็กคนอื่นๆ หากไม่มีผู้ปกครองคอยดูแลใส่ใจ หรือหากมีแต่เด็กไม่กล้าพูดคุย หากมีเจอสถานการณ์แบบลูกสาวของผม บอกได้เลยว่า ปัญหาใหญ่แน่นอน เพราะ เห็นตัวอย่างจากเด็กบางคน ใช้วิธี ”ขายตัว “ , บางคนเล่นการพนันออนไลน์ เพื่อเอาเงินมาลงกับธุรกิจขายตรง ดังนั้น จึงอยากให้สังคมมองเห็นภาพให้ชัด มันมีตัวอย่างเกิดขึ้น ขืนปล่อยไว้แบบนี้ อนาคตเด็กแย่แน่ๆ “ ตัวอย่างนี้ เป็นข้อเตือนภัย และ ขออาศัยแรงผลักดันให้ช่วยทำจดหมายส่งไปถึง บริษัทขายตรง ควรคำนึงถึง เด็กๆ ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย อย่าเห็นแก่ได้มากเกินไป จนละทิ้งคุณธรรม ทางสังคม ซึ่งตอนนี้รู้มาว่า มีผู้ปกครองจำนวนมากที่เจอปัญหานี้เหมือนกัน แต่เขาไม่รู้ช่องทางที่จะแก้ปัญหา
ล่าสุด 15 พฤษภาคม 2566 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ทำจดหมายถึง “ ประธานกรรมการบริษัท xxx”อ้างถึง ข้อร้องเรียนของบิดาเยาวชนหญิงอายุ 17 ปี ซึ่งระบุถึงการที่บริษัทยอมให้เข้าร่วมเป็นพนักงานขาย (นักธุรกิจ ) และ ขายคอร์สราคาแพงที่เกินกำลังของเยาวชน ถือเป็นการกระทำที่ขาดจิตสำนึก สร้างผลกระทบ และ อาจเป็นภัยกับเยาวชนในอนาคต เพราะอาจหาเงินในรูปแบบต่างๆ ที่ผิดกฎหมาย เพื่อนำมาสมัครเป็นสมาชิก ดังนั้น ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขายตรงแห่งนี้ ขอให้ช่วยตรวจสอบ และ ดำเนินการแก้ไขปัญหา เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคโดยส่วนรวม ทั้งนี้ ขอให้แจ้งผลดำเนินการเป็นลายลักษณ์อักษรส่งกลับมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อนำส่งผู้ร้องให้ทราบต่อไป
ธุรกิจขายตรง ใครก็ตามที่เคยเข้ามาวงจรนี้ ต่างรู้ดีว่า นอกจาก ค่าสมัคร เป็นนักธุรกิจที่แพงลิบลิ่ว เพื่อแลกกับสินค้าเอาไปขายต่อ แต่... ไม่มีใครสำเร็จเหมือนกันหรอก คนถูกกล่าวอ้าง บนเวที ถูกสร้างเป็นไอดอล แค่ 1-2 คน ถามว่า มีใครกล้าเปิดบัญชีเงินฝากไหมล่ะ ที่ว่า จากจนกรอบ แต่มาได้ธุรกิจนี้พยุงขึ้นมาเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน พันล้าน เค้าจะชอบพูดว่า ไม่อยากได้เงิน ไม่อยากรวยเหรอ ให้ถามกลับไปเลย ถ้ามันดีจริง ถ้าได้เงินจริง ขอยืมเงินมาสมัครค่าสมาชิกหน่อยสิ เดี๋ยวทำแล้วรวย คืนให้ รับรองได้เลย คนพวกนี้ จะหายหน้าไปทันที !**
ลองดูประสบการณ์ของผู้ถูกชักชวนขายตรงประเภทนี้ จึงแนะต้องหนีไปให้ไกล
-
เริ่มแรกจะเริ่มถามก่อนว่า มีอะไรบ้างที่เราอยากได้แล้วยังไม่ได้ คำแนะนำ : ถ้าไม่อยากทำ ต้องตอบอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เกี่ยวกับเงิน ต้องทำตัวรวยเข้าไว้ บ้านมีเงินเป็นพันล้านประมาณนี้ ตอบประมาณว่าเงินชาตินี้ไม่ต้องหาแล้ว เงินนะพอแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะมีวิธีการโยงมาว่า เราต้องการเงิน เช่นถ้าตอบว่าอยากได้รถยนต์ ก็คือเราต้องการเงินเพื่อซื้อรถ
-
เขาจะถามต่อว่าแล้วเราจะมีวิธีการใด หรือ เราได้วางแผนไว้อย่างไรเพื่อให้ได้หัวข้อที่ 1 คำแนะนำ : ไม่มีคะ เพราะอย่างไร เขาก็จะเถียงว่า เขามีวิธีการที่ดีกว่าแผนการเรา เพราะ ธุรกิจของเขาให้ได้ทั้งเงิน และ เวลา นั่งอยู่เฉยๆเงินก็เข้ามาในกระเป๋า ถ้าเรามีธุรกิจแล้วรวยมากๆ อยู่แล้ว เขาก็จะยกตัวอย่างธุรกิจที่รวยมากๆ แล้วอยู่ๆ ก็ล้มละลาย หรือ ยกตัวอย่างข่าวต่างๆ นานา ว่า ไม่มีความแน่นอน แต่ ทำกับเขามีความแน่นอน เปิดมานาน มีอยู่ทั่วทั้งโลก เมืองไทยล้าหลังบลาๆๆ
-
เขาจะพยายามทิ้งสิ่งของเอาไว้ เช่น ซีดี หนังสือ แคตตาล็อก หรือเอกสารอะไรก็ตาม เพื่อที่วันหลังเขาจะมาเอาคืน เขาจะได้มีโอกาสได้เจอกันอีก แล้วถามต่อว่า ที่ดูไปเป็นอย่างไรบ้าง ได้อ่านหรือยัง ได้ดูหรือยัง คำแนะนำ : ถ้าไม่อยากทำ อย่ารับของเอาไว้ค่ะ ให้ปฏิเสธสุดชีวิต
-
เขาจะชวนเราไปประชุมงานต่างๆ โดยหัวข้อที่ประชุมจะไม่เกี่ยวกับขายตรง แต่เป็นหัวข้ออะไรก็ตาม เช่น AEC หรือ เล่นเกมพ่อรวยสอนลูก คำแนะนำ : ถ้าไม่อยากทำ อย่าไปค่ะ เสร็จทุกราย มันคือประชุมลัทธิขายตรงคะ จะเจอรุมจากคนนู้นคนนี้คนนั้น และ จะได้เจอคนที่ประสบความสำเร็จระดับเจ้าลัทธิออกมาพูดกล่อมค่ะ
-
เขาจะขอรายชื่อเพื่อนๆเรา ขอไปอย่างน้อย 100 คน จะโทรไปหาคนที่เรารู้จัก จะเอาญาติเราให้ได้ ถึงแม้ว่าญาติเราจะรวยแค่ไหนก็ตาม หรือจะรวยเป็นระดับพันล้าน ก็จะเอาชื่อไปให้ได้ คำแนะนำ: แล้วแต่เราเลยคะ เพราะถึงถ้าใครจะรวยเป็นพันล้าน เขาจะยกตัวอย่างคนระดับหมื่นล้านมาข่ม ว่าคนระดับหมื่นล้านยังทำเลย หลีกเลี่ยงยาก ถึงแม้ว่าจะบอกว่าญาติอาศัยอยู่ต่างประเทศก็ตาม คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ดีเลย...ธุรกิจเขากำลังขยายไปสู่ต่างประเทศ
-
เขาจะพูดทำนองว่า เราอยากมีธุรกิจส่วนตัวไหม หรือ อยากเป็นพนักงานกินเงินเดือน คำแนะนำ: ถ้าไม่อยากทำ ให้ตอบว่า อยากกินเงินเดือนค่ะ
สรุปว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นปัญหา อยากเตือน ให้ คิด - วิเคราะห์ - แยกแยะ และเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี ไม่ควรตกเป็นเหยื่อทางการตลาด ที่ขาดความรับผิดชอบ จากผู้ประกอบการบางราย