มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์ 02 248 3737
ให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์
Consumer Thai Facebook page

< กลับไปหน้ารวมข่าว

ถูกรถพุ่งชนจนพิการ แต่...โดนฟ้องอาญาฐานประมาทร่วม!

เขียนโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

เขียนเมื่อ: 28-12-2024 17:19

หมวดหมู่: บริการขนส่งและยานพาหนะ

ภาพประกอบข่าว

ถูกรถพุ่งชนจนพิการ แต่...โดนฟ้องอาญาฐานประมาทร่วม!

จากพาดหัวนี้ หลายคนอาจตั้งคำถาม ทำไมล่ะ ? คนถูกชนเป็นผู้เสียหายนะ ต้องได้รับการชดเชยเยียวยาสิ ! ไหงกลายมาเป็นโดนฟ้องอาญาข้อหาประมาทร่วม!

จะบอกให้ว่า ก็เหตุนี้มันมีที่มาจากข้อกฏหมายน่ะสิ เพราะไม่ใช่ว่า ผู้บาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต จากอุบัติเหตุ จะเป็นฝ่ายถูกเสมอไป ยังไงน่ะเหรอ ? ลองมาอ่านเรื่องราว "เมื่อรถทางเอก ถูก รถทางโท พุ่งชน !"

หลายคนอาจเข้าใจว่า ทางเอก คือ ทางตรงของถนนใหญ่ รถเส้นทางนี้มีสิทธิ์วิ่งไปก่อน ส่วนทางโทที่อยู่ในซอยต้องหยุดรอให้ทางเอกไปก่อน แต่ ! ไม่ใช่เลย พวกคุณเข้าใจผิดอย่างแรง เพราะกฏจราจรมีบังคับใช้ โดยเฉพาะ ไฟกะพริบ เหลือง กับ แดง บริเวณทางแยก

เชื่อว่าหลายคนมีความเข้าใจผิดเมื่อพบเห็นสัญญาณไฟจราจรกะพริบกลางสี่แยก บางคนเข้าใจว่าหากเป็นสัญญาณสีเหลืองกะพริบ หมายถึงให้เพิ่มความระมัดระวังขณะขับผ่านสี่แยก แต่หากเป็นไฟแดงกะพริบต้องเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ บ้างก็เข้าใจว่าสัญญาณไฟกะพริบเกิดจากการขัดข้อง ไม่ได้มีความหมายอื่นใดไปมากกว่านั้น

แต่ในความเป็นจริง สัญญาณไฟจราจรกะพริบเหล่านี้มีความหมายแฝงอยู่ ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่ผู้ขับขี่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยขณะขับผ่านสี่แยก โดยแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ

1.สัญญาณไฟกะพริบสีเหลือง หมายถึง ผู้ขับรถอยู่ทางเอก จะต้องชะลอความเร็วก่อนถึงสี่แยก เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงไปต่อ

2.สัญญาณไฟกะพริบสีแดง หมายถึง ผู้ขับรถทางโทจะต้องหยุดรถก่อนสี่แยก รอจนกว่าจะปลอดภัยถึงเคลื่อนตัวออกไปได้

เอาละ มาถึงเหตุการณ์สำคัญ เรื่องนี้ต้องขอเล่าย้อนไปถึงปีเกิดเหตุ2563 ช่วงเช้าวันหนึ่ง สาววัย19 ขี่รถจักรยานยนต์มาเส้นถนนบนทางเอก( ถนนเส้นหลัก) บริเวณทางแยกพื้นที่ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง โดยใช้ความเร็วประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จังหวะนั้นมีไฟกะพริบสีเหลือง ซึ่งตามกฏจราจร ผู้ขับขี่รถต้องหยุด แต่เธอคิดว่าในเมื่อไม่เห็นรถจากทางแยกจึงวิ่งผ่านไปทันที แต่แล้ว ... โครม ! เธอถูกรถตู้โดยสารที่วิ่งออกมาจากทางแยก (ทางโท) ด้วยความเร็วพุ่งชนอย่างแรง จนร่างของเธอลอยละลิ่ว กระทั่งตกลงมากระแทกพื้นถนน มีอาการบาดเจ็บสาหัส !

เมื่อตำรวจท้องที่ได้รับแจ้งเหตุ จึงมาตรวจสอบ หน่วยกู้ภัยได้นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล หมอตรวจพบ ว่า กระดูกสันหลังที่หักได้เคลื่อนไปกดทับไขสันหลัง จึงต้องผ่าตัดดามเหล็ก ซึ่งงผลต่อเนื่องจากอุบัติเหตุ ทำให้หญิงสาวกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต เนื่องจากเป็นอัมพาตท่อนล่าง ขาสองข้างอ่อนแรงถาวร

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เธอยังถูก" ยื่นฟ้องคดีอาญาข้อหาประมาทร่วม! " ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุถูกรถตู้พุ่งชน โดยตำรวจได้ทำสำนวนส่งถึงอัยการให้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ขับรถตู้ เป็นจำเลยในคดีอาญา ข้อหา " ขับรถโดยประมาท " ทางแม่ของผู้บาดเจ็บ จึงมาร้องที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อขอความช่วยเหลือทางข้อกฏหมาย

นางสาวณัฐวดี เต็งพานิชกุล ทนายความมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า การสู้คดีอาญา ทางผู้บาดเจ็บตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะฝ่ายพุ่งชนมีหลักฐานจากกล้องหน้ารถ บันทึกเหตุการณ์ช่วงที่เห็นไฟกะพริบสีเหลืองตรงทางแยกที่เป็นสัญญาณให้ตรงหยุดรถ

กระทั่ง 23 เมษายน 2567 ศาลมีคำพิพากษา ว่า " การที่ผู้บาดเจ็บขี่รถจักรยานยนต์มาบนเส้นทางเส้นกั้น และมีไฟกะพริบสีเหลือง ซึ่งกำหนดให้ต้องหยุดรถเพื่อรอทางโท (ในซอย) แต่กลับขี่มาโดยไม่ดูสัญญาณ ที่สำคัญกล้องหน้ารถของคู่กรณีที่เป็นรถตู้เห็นชัดเจน จึงเป็นหลักฐานให้อีกฝ่ายยกเหตุให้ศาลเห็นว่า อีกฝ่ายขี่รถมาโดยไม่หยุดรอดูสัญญาณไฟกะพริบสีเหลือง ถึงแม้จะขี่มาบนทางเอก อย่างไรก็ตาม รถตู้ที่ขับมาบนทางโท ไม่ยอมดูสัญญาณไฟกะพริบสีแดงและเส้นทางเอกที่มีรถขับสวนพุ่งมา จึงถือเป็น" การประมาทร่วม" ต้องจ่ายเงินค่าปรับทั้งคู่

เราเชื่อว่า ต้องมีหลายคนสงสัย ทำไมเคสอุบัติเหตุ ตำรวจ ต้องทำสำนวนส่งอัยการยื่นฟ้องฐานประมาท นางสาวณัฐวดี อธิบายว่า ถือเป็นไฟต์บังคับ ที่ตำรวจต้องส่งให้อัยการยื่นฟ้อง โดยกรณีคดีอุบัติเหตุผู้บาดเจ็บถูกตั้งข้อหาตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) ที่ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถโดยประมาท หรือ น่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ซึ่งไม่ใช่คดีที่สามารถยอมความได้ โดยมีโทษปรับตั้งแต่ 400 - 1,000 บาท และไม่สามารถเจรจากันได้ อีกทั้ง ยังมีความเสียหายเกิดขึ้น คือ มีคนบาดเจ็บ หรือ มีทรัพย์สินเสียหาย จึงต้องส่งฟ้องศาล เพื่อให้ศาลสั่งปรับเงิน

แต่เคสนี้ยังไม่จบเพราะต้องฟ้องร้องกันต่อทางแพ่ง ! เมื่อในชั้นเจรจาไกล่เกลี่ย ฝ่ายรถตู้และบริษัทประกันภัยไม่ยอมมาเจรจา

เบื้องต้น บริษัทประกันภัย (ภาคสมัครใจชั้น3) ของผู้เสียหายและแม่ของผู้บาดเจ็บร่วมกันเรียกค่าเสียหาย 3 ล้านบาท แต่ผู้ขับรถตู้กับบริษัทประกันภัยไม่ยินยอม จนสุดท้ายต้องยื่นฟ้องกันในชั้นศาลแพ่ง กระทั่ง 14 พฤศจิกายน 2567 ได้ข้อยุติโดยทำ "สัญญาประนีประนอมยอมความ" พร้อมยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนฟ้อง เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายต่างยอมรับเงื่อนไขของกันและกัน ซึ่งฝั่งคู่กรณี ขอจ่ายเงินชดเชย 1 แสน 7 หมื่นบาท ให้โจทก์ที่บาดเจ็บสาหัสจนพิการ โดยทยอยเงินจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากเดือนละ 3 พันบาท เริ่มงวดแรก 28 มกราคม 2568 และ ชำระทุกวันที่ 28 ของทุกเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 เดือน

มีคำถามว่า ฝ่ายโจทก์เรียกค่าเสียหายตอนแรก3ล้านบาท แต่ทำไมยินยอมรับเงินชดเชยที่1แสน7หมื่นบาท นางสาวณัฐวดี เต็งพานิชกุล ทนายความมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกสาเหตุว่า เคสนี้รถตู้มีกล้องหน้ารถเป็นหลักฐาน ถือเป็นข้อต่อสู้ในการบีบราคา ถึงแม้ยอมรับว่ามีส่วนในการขับรถเร็ว จึงยอมจ่ายเยียวยาค่าเสียหายบางส่วน อีกทั้งเหตุการณ์สะท้อนข้อเตือนสติได้ว่า การขับขี่รถ ถึงแม้ขับมาทางเอก อย่าคิดว่า เป็นฝ่ายถูกเสมอไป เพราะถ้ามีไฟกะพริบสีเหลือง คุณต้องหยุด หากไม่หยุดแล้วเกิดอุบัติเหตุ ถือเป็นความประมาท เอาผิดใครไม่ได้ด้วย แต่การพิจารณาเยียวยาความเสียหาย ก็ต้องมาดูกันอีกที เพราะบางรายอาจไม่ได้เงินชดเชยแม้แต่บาทเดียว หากทางเอก ผิดเต็มๆ เรียกร้องกับคู่กรณีไม่ได้ ต้องระวัง และ ต้องดูกฏจราจรให้แม่นๆ เมื่อใดก็ตามที่เราปฏิบัติตามกฏจราจร ย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหาย

เรื่องราวนี้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อยากบอกเล่าให้เป็นอุทาหรณ์ ทั้งเรื่องกฏจราจรที่ทำให้คุณตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบถึงแม้เป็นผู้เสียหายก็ตาม ที่สำคัญการใช้รถใช้ถนน หากประมาทแม้แต่นิดเดียว โชคร้ายถึงตาย ! ถึงแม้โชคดีก็ตามเหอะ แต่ร่างกายก็ไม่ครบ 32 แถมบางรายต้องพิการตลอดชีวิต !


ปรึกษา ร้องเรียน
สอบถามเพิ่มเติม