“ผู้บริโภคฟ้องแพ่งเนอร์สซิ่งโฮม” ฐานผิดสัญญา ร้องภาครัฐคุมเข้มกำกับดูแล
เขียนโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
เขียนเมื่อ: 22-08-2025 17:43
หมวดหมู่: บริการสุขภาพ

ผู้เสียหายรวมตัวฟ้องแพ่ง "ธนวรรณ เนอร์สซิ่ง" ฐานผิดสัญญา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้ยังมี “เนอร์สเซอรี่-เนอร์สซิ่งโฮม”อาศัยช่องโหว่กฎหมายสร้างความเสียหาย เรียกร้องภาครัฐกำกับดูแลอย่างเข้มงวด อย่าโยนภาระให้ประชาชนต้องช่วยเหลือตัวเอง
วันนี้ ( 22 สิงหาคม ) นฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ ให้ความเห็นว่าต้นเหตุของปัญหาลักษณะแบบนี้ เกิดจาก “เนอร์สเซอรี่-เนอร์สซิ่งโฮม ที่ส่งคนไปดูแลเด็ก คนชรา และผู้ป่วยตามบ้าน แค่เพียงจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ก็สามารถทำธุรกิจได้อย่างง่ายดาย นั่นเพราะไม่มีกระบวนการตรวจสอบและไม่มีหน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าภาพกำกับดูแลอย่างชัดเจน จึงเป็นช่องโหว่ให้ผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมฉ้อโกง กลายสภาพเป็นกลายมิจฉาชีพอย่างถูกกฏหมาย โดยรับเงินมัดจำไปแล้ว แต่แค่ส่งคนที่ไม่ผ่านกระบวนการฝึกอบรมตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานรัฐ เพียงเพื่อไม่ให้ผิดสัญญาจะได้รอดพ้นจากคดีอาญา ที่สำคัญอย่างยิ่งสัญญาว่าจ้างผู้ป่วยติดเตียงจะต้องถูกควบคุมโดย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส. ) เพราะนี่คือเรื่องการรักษาพยาบาลกับชีวิตมนุษย์ ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีเคสที่ร้องเรียนที่ต้องสูญเสียคุณแม่วัย 80 ปี ซึ่งป่วยติดเตียงแต่กลับต้องเสียชีวิตภายในเวลาอันสั้น โดยผู้เสียหายเล่าเหตุการณ์ว่า ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2567 ได้ว่าจ้างบริษัท "เพชรเกษมเนอร์สซิ่งโฮม” ให้มาดูแลคุณแม่ที่ป่วยหลายโรคประจำตัว รวมถึงเป็นอัลไซเมอร์ โดยตกลงว่าจ้างผู้ดูแล 1 คน ค่าบริการเดือนละเกือบ 5 หมื่นบาท แต่ผู้ดูแลกลับเพิกเฉยต่อหน้าที่หลายครั้ง ไล่ตั้งแต่ทำให้คุณแม่ตกลงมาจากเตียงนอน, ปล่อยให้คุณแม่ออกมาเดินยามค่ำคืนจนลื่นล้มกระดูกสะโพกหักกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง เกิดผลกระทบซ้อนเมื่อเส้นเลือดในสมองด้านซ้ายตีบ จนเกิดภาวะพิการต้องรักษาในโรงพยาบาล กระทั่ง 4 กันยายน 2567 คุณแม่เสียชีวิตจากอาการติดเชื้อในกระแสเลือด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางบริษัทที่รับดูแลผู้สูงอายุได้ปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น จึงได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และมาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ ได้ออกหนังสือถึงประธานบริษัทคู่กรณีเพื่อนัดเจรจาไกล่เกลี่ยการชดเชยค่าเสียหาย แต่ฝ่ายนั้นกลับมีท่าทีบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด กระทั่งวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 คู่กรณีให้สำนักงานกฎหมายทำหนังสือแจ้งมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยปฎิเสธการเข้าร่วมไกล่เกลี่ย เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ จึงแจ้งฝ่ายผู้เสียหายต้องการฟ้องร้องทางแพ่งหรือไม่ จะได้เสนอเรื่องส่งอนุกรรมการคดีพิจารณาเพื่อช่วยเหลือ แต่ทางผู้ร้อง บอกว่า "ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว การนำเรื่องนี้มาเปิดเผยถือว่าได้ทำบุญให้คนอื่นๆ ให้ระวังภัยการว่าจ้าง เนิร์สซิ่งโฮม ควรตรวจสอบให้ดี
รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้ว่า ในเมื่อกระบวนการจดทะเบียนธุรกิจแบบนี้ มีแค่ "สัญญา" ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ทางกฎหมาย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงตั้งคำถามไปถึง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ที่เวลานี้ควบคุมเฉพาะสถานพยาบาลประเภทคลินิกเวชกรรม ดูแลเรื่องสถานพยาบาลที่ขออนุญาตส่งคนมาดูแลผู้ป่วยตามบ้าน แต่เหตุใดไม่ถูกบังคับครอบคลุมไปถึง “เนอร์สเซอรี่-เนอร์สซิ่งโฮม” เพราะธุรกิจเหล่านี้ใช้วิธีการเปิดธุรกิจให้บริการจัดหาคนไปทำงาน จึงเข้าข่ายแค่ "ธุรกิจว่าด้วยสัญญา”ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ที่เมื่อมีผู้เสียหายมาร้องเรียนกับหน่วยงานนี้จึงทำได้แค่ไกล่เกลี่ยและคืนเงินส่วนที่เหลือ คำถามคือ ในเมื่อธุรกิจเกิดขึ้นแล้ว แต่ทำไมไม่มีหน่วยงานไปกำกับดูแลปล่อยให้ผู้ประกอบการบางรายที่มีพฤติกรรมที่น่าจะเข้าข่ายฉ้อโกงสามารถหลบหลีกช่องว่างของกฎหมายด้วยการแค่ส่งคนไปตามสัญญา ดังนั้นมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงมีข้อเสนอไปถึงกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยขอให้มีระบบเผยแพร่ข้อมูลของผู้ประกอบธุรกิจ “เนอร์สเซอรี่-เนอร์สซิ่งโฮม” ต้องตรวจสอบใบอนุญาตผู้ให้บริการ รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ประกอบธุรกิจต้องติดป้าย หรือ เลขใบอนุญาต เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถนำข้อมูลไปตรวจสอบ ที่สำคัญต้องจัดการไปถึง "การให้บริการนอกสถานที่ ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดหน่วยงานภาครัฐฯ ไม่ควรโยนภาระมาให้ประชาชนต้องช่วยเหลือตัวเอง
หมายเหตุ
มีเคสที่ผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ สภาองค์กรของผู้บริโภค เป็นตัวแทน ยื่นฟ้องแพ่ง "ห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนวรรณ เนอร์สซิ่ง เซอร์วิส " ฐาน "ผิดสัญญาและปฏิเสธความรับผิดชอบที่มีต่อผู้บริโภค” ซึ่งจำเลยรายนี้ประกอบธุรกิจให้บริการ แม่บ้าน, แม่ครัว, พี่เลี้ยงเด็ก, ดูแลผู้ป่วย, ดูแลผู้สูงอายุ, เฝ้าไข้ แต่มีพฤติกรรมเข้าข่ายฉ้อโกงด้วยวิธีการเรียกเก็บเงินค่ามัดจำเป็นเงินเดือนล่วงหน้าของพนักงานที่ส่งมาทำงานตามบ้าน ซึ่งผู้ว่าจ้างแต่ละรายต้องจ่ายเงินหลักหลายหมื่นบาทจนถึงหลักแสนบาท แต่ปัญหาเกิดขึ้นหลังจากมีคนมาทำงานไม่ถึงอาทิตย์กลับหายตัวไปเลย ทั้งที่ตามสัญญาจ้างงานคือ 1 ปี เมื่อผู้เสียหายติดต่อไปยังบริษัทได้รับคำชี้แจงแค่ว่า “ลูกจ้างแจ้งลาออกโดยสมัครใจ” เมื่อขอให้ส่งคนใหม่มาแทนเหตุการณ์ได้เกิดซ้ำรอยเดิม เมื่อผู้ว่าจ้างขอเงินค่ามัดจำส่วนที่เหลือคืน แต่บริษัทกลับนิ่งเฉย และนั่นทำให้มีเสียหายมาร้องเรียนกับฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ฯ เบื้องต้นมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ช่วยเหลือผู้เสียหายโดยออกหนังสือไปหลายฉบับตั้งแต่ต้นปี 2567 ส่งถึง "ธนวรรณ เนอร์สซิ่ง" เพื่อขอยกเลิกสัญญาและต้องคืนเงินให้กับผู้เสียหายทุกราย แต่จนถึงปัจจุบันอีกฝ่ายยังใช้พฤติกรรมบ่ายเบี่ยง ดังนั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงดำเนินการในฐานะหน่วยงานประจำจังหวัดกรุงเทพมหานคร สภาองค์กรของผู้บริโภค ด้วยการส่งเรื่องให้ช่วยเหลือแก่ผู้ร้องหลายรายร่วมฟ้อง โดยยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568