ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ควรแก้อย่างไร
เขียนโดย: ไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการบริหารศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เขียนเมื่อ: 23-05-2025 13:02
หมวดหมู่: บริการสุขภาพ

ข่าวนักเรียนหญิง ป.6 อายุ 12 ขวบ โรงเรียนใน ต.ดอนมนต์ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ถูกครูในโรงเรียนนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการอาเจียนไม่มีแรงและหายใจเหนื่อยหอบ แพทย์ระบุว่า เด็กปอดหายไปเกือบทั้งหมด ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จากการซักประวัติเด็กสูบบุหรี่ไฟฟ้ามาเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยซื้อบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำต้มกระท่อมจากร้านขายชำหน้าโรงเรียนที่จำหน่ายอย่างเปิดเผยมาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี ทำให้นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานขยายผลปราบปรามผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้า
รัฐบาลรุกปราบบุหรี่ไฟฟ้า
นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 20 หน่วยงานเข้าร่วมประชุม ได้สรุปผลการปฏิบัติการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาคือ ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2568 โดยได้รับแจ้ง 839 เรื่อง จับกุมและดำเนินคดีได้จำนวน 1,078 คดี จำนวนผู้ต้องหา 1,104 คน จำนวนของกลาง 900,444 ชิ้น มูลค่าของกลาง 118,953,915 บาท ยอดคดีที่จับกุมดังกล่าว มีจำนวนตัวเลขเกือบเทียบเท่าการปราบปรามตลอดทั้งปี 2567 ที่ผ่านมา
ข้อมูลนี้สะท้อนถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปล่อยปละ ละเลยมาเป็นเวลานาน จนทำให้มีการซื้อขาย โฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าในวงกว้าง การแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าจึงต้องอาศัยความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลในการปราบปรามผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ** สภารับทราบผลการศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า**
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ที่ได้เสนอแนวทางออก 3 แนวทางคือ แนวทางที่ 1 บุหรี่ไฟฟ้าทุกประเภท เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ไม่สามารถซื้อขายหรือนำเข้ามาวางจำหน่ายได้ แนวทางที่ 2 ผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทให้ความร้อน (Heated Tobacco Products: HTPs) เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย สามารถซื้อขายได้ แนวทางที่ 3 บุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดซื้อขายได้ถูกกฎหมาย โดยอ้างว่าเป็นทางเลือกของประชาชนแทนการสูบบุหรี่ ช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกยาสูบ ช่วยให้รัฐจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น
ผู้เขียนเห็นว่าแนวทางที่เหมาะสมคือ แนวทางที่ 1 เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้สูบและคนรอบข้างที่ได้รับควันมือสอง โดยมีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันชัดเจนถึงผลกระทบต่อสุขภาพของผู้สูบ ทารกในครรภ์ และคนรอบข้าง โดย 14 ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์แห่งประเทศไทยร่วมแถลงการณ์ “ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า” ในวันแพทย์ไทยเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา
สำหรับแนวทางที่ 2 และ 3 ที่เสนอให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายจึงไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลเรื่องการที่ทำให้รัฐได้ภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับผลกระทบทางสังคม (social cost) อีกทั้งยังมีบุหรี่ไฟฟ้าใต้ดินขายอยู่เช่นเดิม เป็นที่น่าเสียดายที่กรรมาธิการชุดนี้ เสียงส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางที่ 2 และ 3 อาจเป็นเพราะถูกกลุ่มคนที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบที่เป็นกรรมาธิการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
แนวทางแก้ไขในต่างประเทศ
จากการศึกษาวิจัยแนวทางการจัดการปัญหาบุหรี่ในต่างประเทศพบว่า สิงคโปร์เป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมยาสูบในระดับโลก มีนโยบาย กฎหมายควบคุมยาสูบที่มีเนื้อหาทันสมัย และมีการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ หน่วยงานด้านสุขภาพในสิงคโปร์คือ Health Sciences Authority (HSA) บังคับใช้กฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบในเรื่องการห้ามโฆษณา ส่งเสริมการขาย การขายบุหรี่ไฟฟ้าทางออนไลน์อย่างได้ผล มีการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดหลายราย มีการทำงานเชิงรุก เช่น การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการตรวจสอบเฝ้าระวังการขาย การโฆษณาทางออนไลน์ทาง social media รวมถึงการทำความตกลงกับผู้ให้บริการขนส่งเพื่อตรวจสอบพัสดุว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่
บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า ขายในสิงคโปร์ตั้งแต่ปี ค.ศ.2011 และขยายเป็นการห้ามครอบครองในปี 2018 ทั้งนี้ HSA ได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก โดยตรวจสอบ เฝ้าระวังการขายบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์อย่างผิดกฎหมายร่วมกับตำรวจ และทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านตรวจคนเข้าเมือง หน่วยงานศุลกากร เพื่อที่จะตรวจสอบการลักลอบนำเข้ามาในสิงคโปร์ ไม่มีปัญหาเรื่องส่วยของเจ้าหน้าที่เหมือนไทย
ข้อเสนอแนะ
รัฐบาลควรพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการอย่างรอบคอบ โดยควรคงมาตรการห้ามการนำเข้า ซื้อขาย และโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้า โดยกรมศุลกากรจะต้องมีการตรวจสอบสินค้านำเข้าจากประเทศจีนที่เป็นแหล่งผลิตบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่อย่างเข้มงวด เน้นการดำเนินคดีกับผู้นำเข้า ผู้ที่อยู่ขบวนการลักลอบนำเข้าเพื่อขายในประเทศในเรื่องการครอบครองเพื่อขาย แต่ไม่ควรดำเนินคดีกับผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าตามกฎหมายศุลกากร เพราะไม่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย
เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขจะต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 โดยดำเนินคดีกับผู้โฆษณา สื่อสารการตลาด อินฟลูที่รีวิวบุหรี่ไฟฟ้า ขายออนไลน์ การสูบในสถานที่สาธารณะ เขตปลอดบุหรี่ การจัดทำป้ายห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในสถานที่ต่าง ๆ ตามกฎหมาย เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลผลเสียของบุหรี่ไฟฟ้าทางสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ที่คนรุ่นใหม่นิยม มีการให้บริการปรึกษาผู้ใช้หรือผู้ติดบุหรี่ไฟฟ้าที่ต้องการเลิก 1600 และช่องทางอื่น
อนึ่ง เจ้าหน้าที่บางท่านในกรมควบคุมโรคไม่ควรอ้างเหตุผลว่าขาดแคลนบุคลากร ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ หรือเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้แก่เจ้าหน้าที่หรือผู้อื่นว่า ไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้าได้ เพราะปัจจุบันสามารถประสานงานกับหน่วยงานอื่นที่มีศักยภาพได้ เช่น ตำรวจไซเบอร์ กระทรวงดิจิทัล สคบ. ฯลฯ หากคนในกระทรวงสาธารณสุขละเลยเรื่องนี้ จะทำให้คนไทย เด็กเยาวชนติดบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ระบบสาธารณสุข งบประมาณด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชากรในระยะยาว
กระทรวงศึกษาจะควรแก้ไขปรับปรุงกฎ ระเบียบต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองนักเรียน เด็ก เยาวชนในสถานศึกษา เช่น แก้ไขกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาพ.ศ. 2548 และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาสามารถตรวจค้นและยึดบุหรี่ไฟฟ้า ตลอดจนกำหนดบทลงโทษทางวินัยแก่นักเรียนนักศึกษาที่เหมาะสม บุคลากรทางการศึกษาควรสอดส่องดูแลการซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าบริเวณรอบโรงเรียนทำงานร่วมกับชุมชนด้วย มีการให้คำแนะนำนักเรียนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงการใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กเป็นหลัก