มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์ 02 248 3737
ให้คำปรึกษาผ่านโทรศัพท์
Consumer Thai Facebook page

< กลับไปหน้ารวมข่าว

ภาคประชาชนและ ‘เพื่อนผู้ป่วยซึมเศร้า’ ยื่นหนังสือเร่ง สปสช. ดันยาต้านเศร้าเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ บัตรประชาชนใบเดียวควรรักษาโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่ไหนก็ได้ ปัญหาใหม่ ‘โรคเรื้อรังซ้ำซ้อน’

เขียนโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

เขียนเมื่อ: 25-12-2023 17:45

หมวดหมู่: อาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ

ภาพประกอบข่าว

วันที่ 25 ธันวาคม 2566 ตัวแทนกลุ่มเพื่อนผู้ป่วยซึมเศร้า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) และสมาคมคนรุ่นใหม่กับนวัตกรรมทางสังคม (SYSI) ยื่นหนังสือ “ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ข้อเสนอ นโยบายเพื่อผู้ป่วยซึมเศร้า” 7 ประเด็นจากผลงานวิจัยโดยผู้ป่วยซึมเศร้า แก่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ศูนย์ราชการฯ กรุงเทพฯ

น.ส.ฐิตินบ โกมลนิมิ ตัวแทนกลุ่มเพื่อนผู้ป่วยซึมเศร้า ระบุว่า ในวัฎจักรของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีคนอยู่อย่างน้อย 3 กลุ่มหลัก คือ (1) คนที่ไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจนอาการปรากฏแล้วและไม่มีโอกาสเข้ารับการรักษาพยาบาล (2) คนที่รู้ตัวว่าป่วยแต่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาล และ (3) ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่อยู่ระหว่างการรักษาและทุกข์อยู่กับระบบสุขภาพอย่างเดียวดาย

​ช่วงหลายปีนี้มีผู้บริโภคหรือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและญาติผู้ป่วย ร้องเรียนและปรึกษาปัญหาการใช้บริการด้านการรักษาในระบบสุขภาพหลายรายมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ดังนั้นทางมูลนิธิฯ จึงริเริ่มโครงการวิจัย ”ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่ความทุกข์ส่วนบุคคล เพื่อจัดทำข้อเสนอนโยบายเพื่อการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้า” ในปี 2566 ผลการวิจัยพบ ปัญหาการส่งต่อในทุกระบบหลักประกันสุขภาพไม่เอื้อกับผู้ป่วยทั้งขาดแคลนยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษา ยามีราคาแพง และยาบางรายการที่จำเป็นต่อการรักษาไม่ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้ผู้ให้บริการอ้างเก็บเงินส่วนต่างจากผู้ป่วยเกิดเป็นภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจนผู้ป่วยบางรายต้องหยุดยาเอง หยุดการรักษาและกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรัง ปัญหาขาดแคลนจิตแพทย์และนักจิตบำบัดทำให้การเข้าถึง ส่งต่อ รอคิวการรักษาเป็นเวลานาน ขาดทางเลือกในการรักษา เป็นต้น

เพิ่มยาต้านเศร้าและยาจิตเวชเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ

​ดังนั้นจึงมีข้อเสนอเร่งด่วน คือ 1. ต้องการให้สปสช. เร่งรัดการเพิ่มยาต้านเศร้าและยาจิตเวชที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 4 รายการ เช่น โอแลนซาปีน (Olanzapine) อะริพิพราโซล (Aripiprazole) เวนลาฟาซีน (Venlafaxine) และ เมธธิลฟินิเดท (Methylphenidate) ขณะนี้เรื่องยังติดอยู่ที่อนุกรรมการพิจารณาบัญชียาหลักแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และดีกว่ายาที่มีในระบบขณะนี้ ตามคำแนะนำของกรมสุขภาพจิต ราช วิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยเสนอไว้ตั้งแต่ปี 2564 ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อต่อรองราคายาให้ถูกลงเพื่อนำไปสู่การทำระบบเบิกจ่ายยา ส่งยาตรงไปถึงโรงพยาบาล คลินิกจิตเวช และร้านยาทั่วประเทศ และเร่งแก้ปัญหาการเรียกเก็บค่ายาส่วนต่างจากผู้ป่วย รวมทั้งผลักดันยาดังกล่าวให้บรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติด้วย เพื่อลดต้นทุนการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย และลดค่าใช้จ่ายด้านยาของระบบสุขภาพโดยรวม

​โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รักษาได้แต่ด้วยซับซ้อนในการรักษาและเข้าถึงบริการไม่สะดวก ยามีราคาแพง ทำให้ผู้ป่วยบางรายหยุดยาเอง จึงกลับมาป่วยซ้ำและกลายเป็นผู้ป่วยซึมเศร้าเรื้อรัง ขณะที่ยาที่มีอยู่ในบัญชียาหลักฯ ส่วนใหญ่เป็นยากลุ่มกลุ่มที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อสารสื่อประสาทเพียงชนิดเดียว หรือ (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors; SSRIs ) เน้นหนักไปที่ยับยั้งการเก็บกลับของเซโรโทนิน แม้ยังสามารถรักษาผู้ป่วยได้ดี แต่สำหรับผู้ป่วยบางกลุ่มที่อาการรุนแรงหรือกลายเป็นโรคเรื้อรังจำเป็นต้องใช้ยาอีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อสารสื่อประสาทหลายชนิด (Serotonin and Norepinephrine Reuptake Inhibitors; SNRIs) เช่น เวนลาฟาซีน ยาใหม่ ติดสิทธิบัตร และราคาแพง เป็นภาระค่าใช้จ่ายผู้ป่วยอย่างมากและมักถูกหน่วยบริการเรียกเก็บค่าส่วนต่างการรักษา

​“หากแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษานั้น หรือจำเป็นต้องได้รับยานอกบัญชีฯ การเรียกเก็บค่าส่วนต่างถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพราะ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ระบุไว้ว่า สถานพยาบาล หรือโรงพยาบาล ‘ไม่สามารถเรียกเก็บค่าบริการเพิ่ม’ หรือ ‘เรียกเก็บค่าบริการเกินกว่าที่คณะกรรมการกำหนดไว้’ (Extra Billing) จากผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ใช้บริการร้องเรียนกับ สปสช. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและสภาองค์กรของผู้บริโภคจำนวนมาก”

​ฐิตินบ ในฐานะผู้ป่วยซึมเศร้าและผู้วิจัยระบุว่า ได้รับการวินัจฉัยว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรงที่กลับมาป่วยซ้ำหลายครั้ง และมีแนวโน้มต้องกินยาต้านเศร้าประคองอาการไปตลอดชีวิต ซึ่งป่วยมาแล้ว 8 ปี โดยเฉพาะ 4 ปี หลังจำเป็นต้องพึ่งพาบริการบัตรทองแต่ถูกเรียกเก็บเงินยานอกบัญชียามาเกือบตลอด เมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งเจรจากับหน่วยบริการโดยไม่ให้เสียความสัมพันธ์กับแพทย์ผู้รักษา ทำให้การรักษาพยาบาล 3 ครั้งหลังไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว

“สิทธิที่เรามีอยู่แล้ว แต่เรากลับต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธินั้นมาและมีผู้ป่วยจำนวนมากยังไม่รู้ ไม่กล้าเจรจากับแพทย์ผู้รักษา”

บัตรประชาชนใบเดียวควรรักษาโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่ไหนก็ได้

​ข้อเสนอที่ 2 สืบเนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีนโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่” โดยจะเริ่มนำร่อง 4 จังหวัด ต้นปี 2567 และมีเป้าหมายจะขยายทั่วประเทศภายในตุลาคมปีเดียวกัน นโยบายดังกล่าวดี ที่เน้นให้ สปสช. เป็น Financial data hub ผู้ป่วยสามารยื่นบัตรประชาชนเข้ารักษาที่หน่วยบริการไหนก็ได้ไปคลินิกเอกชน หรือใช้บริการร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ สปสช. จะตามจ่ายเงินให้ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของหน่วยบริการสุขภาพ และไม่ต้องใช้ใบส่งต่อข้ามเครือข่าย

​แต่ในกรณีของผู้ป่วยซึมเศร้ามีข้อจำกัดหลายอย่างอาจไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะการขาดแคลนจิตแพทย์ ที่ปัจจุบันนี้มีอยู่ประมาณ 850 คน และกว่าครึ่งหนึ่งกระจุกอยู่ในโรงพยาบาลรัฐและพื้นที่กรุงเทพฯ มากกว่า

200 คน ในขณะที่บางจังหวัดมีจิตแพทย์เพียงคนเดียว ยิ่งสถานการณ์หลังโควิด 19 ระบาด แนวโน้มผู้ป่วยซึมเศร้าที่อายุมากกว่า 15 ปีเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 ล้านคน กลุ่มวัยแรงงานและคนหนุ่มสาวแสดงอาการของโรคนี้มากขึ้น และมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยจะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ มีคนเสี่ยงฆ่าตัวตายมากขึ้น ซึ่งการขาดแคลนจิตแพทย์สวนทางกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากังวล บางสถานพยาบาลจิตแพทย์ต้องรับรักษาผู้ป่วยเฉลี่ยถึงวันละ 20 - 50 คน ทำให้การรอคิวและช่วงเวลาในการเข้ารักษาเฉลี่ย 30 นาที ผู้ป่วยบางคนได้คุยกับแพทย์น้อยมาก เพื่อเฉลี่ยเวลาให้กับผู้ป่วยที่รอคิวอยู่จำนวนมาก

​“ถ้าไม่มีการจัดตั้ง ‘คลินิกจิตเวชทุกโรงพยาบาล ทุกอำเภอ’ และดึงสหวิชาชีพด้านจิตเวชเข้ามาสนับสนุน โดยเฉพาะโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิในระบบสุขภาพ และในเขตเมือง ก็ไม่มีทางที่บัตรประชาชนใบเดียวจะรักษาโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่ไหนก็ได้ คลินิกจิตเวชจึงมีความจำเป็นเพื่อให้การรักษา ติดตาม อาการ ทำได้สะดวกจนผู้ป่วยอาการดีขึ้นและหายป่วยโดยไม่ต้องรอใบส่งต่อเป็นครั้ง ๆ จากหน่วยบริการเจ้าของสิทธิ” ฐิตินบ ในฐานะผู้วิจัยระบุ

สร้างทางเลือกการบำบัดให้หลากหลาย เพิ่มสิทธิประโยชน์การป้องกันมากขึ้น

​ฐิตินบ เล่าว่า กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยตั้งคำถาม ทำไมระบบการรักษาต้องเริ่มต้นด้วยการจ่ายยา มันควรมีการดูแล (treatment) แบบอื่นก่อนไหม สาเหตุอาจมาจากการที่มีแพทย์จำนวนน้อยก็ได้ ทำให้การจ่ายยา ง่ายสุด แต่ถ้าโครงสร้างในระบบการรักษาออกแบบมาดี น่าจะลดเรื่องการใช้ยาได้ ต้นปี 2566 เป็นปีแรกที่ สปสช. สบับสนุน งบประมาณเพื่อสิทธิประโยชน์ด้านป้องกันโรค แก่สายด่วนสุขภาพจิต โทร. 1323 ซึ่งกรมสุขภาพจิตให้คำปรึกษาในภาวะเร่งด่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้รับบริการไม่ต้องไปรอคิวที่โรงพยาบาล ฟรีตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์เป็นผู้แลนั้นมีข้อมูลว่า ในแต่ละปีประเมินว่าผู้ใช้บริการประมาณ 5 แสนสาย แต่เนื่องจากมีระบบรองรับเพียงแค่ 15 คู่สาย จึงสามารถให้บริการได้มีเพียง 1 แสนสายเท่านั้น หรือคิดเป็น 20% เท่านั้น อาจทำให้ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายหลุดร่วงไป

​“ดังนั้น ข้อเสนอที่ 3 ต้องการให้สปสช. และกรมสุขภาพจิต พัฒนาสายด่วนสุขภาพจิต โทร.1323 ให้เป็น ‘หน่วยแรกรับและสายปรึกษาสุขภาพจิตครบวงจร’ ทำงานเชิงรุกรับฟัง ให้คำปรึกษา ติดามประเมินภาวะอาการของโรค และสามารถส่งต่อหน่วยบริการทั้งรัฐและเอกชนที่เข้าร่วมเป็นเครือข่ายให้กับผู้ใช้บริการได้ เพื่อช่วยลดปัญหาการเข้าถึงการรักษาและลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายที่มีสาเหตุจากโรคจิตเวชให้ลดลง ซึ่งผู้ป่วยซึมเศร้าจำนวนมากกลายเป็นผู้ป่วยทางจิตเรื้อรังจำเป็นต้องได้รับการรักษาติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง”

​และข้อเสนอที่ 4 ขอให้บอร์ดสปสช. พัฒนาระบบ ส่งเสริมผู้ป่วยซึมเศร้าและจิตเวชเข้าถึงบริการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพจิตโดยไม่ถูกเรียกเก็บเงินส่วนต่าง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาฟื้นฟูสุขภาพใจควบคู่กับการใช้ยา และเตรียมพร้อมคืนผู้ป่วยกลับคืนสู่สังคม เช่น การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy-CBT) เป็นต้น

ฐิตินบ กล่าวถึงข้อเสนออื่น ๆ อีก ได้แก่ (5) การดูแลผู้ป่วยซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่เกี่ยวข้องในทุกระบบหลักประกันสุขภาพต้องมีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน (6) มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการให้บริการโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชที่เกี่ยวข้อง หลังมีการจัดตั้ง “คลินิกจิตเวชทุกโรงพยาบาล ทุกอำเภอ” และ (7) ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พิจารณาการขึ้นทะเบียนยาต้านซึมเศร้าที่ได้มาตรฐาน เฝ้าระวังเรื่องคุณภาพยา การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล และติดตามการใช้ยาไม่พึงประสงค์ เพื่อให้ผู้สั่งจ่ายยาเกิดความมั่นใจในยาชื่อสามัญเพื่อการเข้าถึงยาได้มากขึ้น

นายธนพลธ์ ดอกแก้ว เครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) และประธานเครือข่ายโรคเรื้อรังให้ข้อมูลเพิ่มว่า ขณะนี้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังไม่ได้เสียชีวิตจากโรคที่ตัวเองเป็น เช่น ผู้ป่วยโรคไต ผู้ติดเชื้อเอชไอวี โรคมะเร็งด้วยทุกข์จากภาวะการเจ็บป่วยของตัวเองแล้ว ยังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ความเครียดจากข้อจำกัดต่าง ๆ ในชีวิต ทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า กลายเป็นโรคเรื้อรังซ้ำซ้อน ทำให้คุณภาพชีวิตตกต่ำมากยิ่งขึ้น และมักเลือกหนทางฆ่าตัวตายเป็นทางออก

​หลังเครือข่ายต่าง ๆ ยื่นหนังสือ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ทราบปัญหาทั้งหมดดีอยู่และตระหนักว่าปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั้งในปัจจุบันและอนาคต นโยบาย 30 บาทพลัสจะทำให้โรงพยาบาลเป็นของประชาชนจริง ๆ และให้นโยบายโดยการตั้งวอร์ดผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้นไปแล้ว จะให้ติดตามว่าการพิจารณายาต้านเศร้าตามข้อเสนอของกรมสุขภาพจิตติดอยู่ที่ตรงไหน หากยังต้องใช้เวลาพิจารณาอีกพอสมควร ระหว่างนั้นอาจหารือหามาตรการ หรือทำเป็นโครงการพิเศษเพื่อต่อรองราคายาให้ถูกลง


ปรึกษา ร้องเรียน
สอบถามเพิ่มเติม