มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฟ้องแพ่งชนะ ! ปมเหตุบ้านจัดสรรทรุดพังทั้งโครงการ
เขียนโดย: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
เขียนเมื่อ: 16-05-2025 23:03
หมวดหมู่: ที่อยู่อาศัย

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฟ้องแพ่งชนะ ! ปมเหตุบ้านจัดสรรทรุดพังทั้งโครงการ
เมื่อเราซื้อบ้านจัดสรรสักหลัง สิ่งที่ต้องการ นั่นคือ " ความถาวร -มั่นคง- ปลอดภัย " อยู่ได้ยาวนานตามคำโฆษณาที่เจ้าของโครงการประโคมสรรหามาจูงใจผู้คนให้มาซื้อ แต่ในเมื่อมันไม่เป็นไปตามนั้น อย่ามัวรออะไร? ต้องยื่นฟ้องสิคะ! พวกเราผู้บริโภคที่รักษาสิทธิ์ไม่ยอมจำนนกับการถูกเอาเปรียบเด็ดขาด ! อย่าปล่อยให้คนผิดลอยนวล เพราะจะได้ใจ กระทำการแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด!
ที่เกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีเคสที่ช่วยผู้เสียหาย ยื่นฟ้องทางแพ่งจนชนะคดี! ศาลสั่งให้ผู้ประกอบการต้องชดใช้ค่าเสียหาย เหตุเกิดกับโครงการบ้านจัดสรร xxx ย่านอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ
ที่มาที่ไปของเรื่องซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะเกือบพาผู้คนถูกตึกที่พังทรุดทับตาย! ต้องมาฟังการเล่าจากปากของผู้เสียหาย เจ้าตัวบอกว่ายังจำได้ดี ไม่มีวันลืม! วันนั้น 19 สิงหาคม 2563 ตอน 10 โมงเช้า จู่ๆ ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะสนั่นรุนแรง ทุกคนพากันหนีตายออกจากบ้านกันจ้าละหวั่นเพราะกลัวถล่มลงมา เมื่อมองกลับเข้าไปจึงเห็นสภาพของ ทาวน์เฮาส์แบบบ้านแฝด2ชั้น ที่ทรุดตัวหลายจุด แถมพื้นแตกร้าวคานฉีก ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าเป็นตอนดึกขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหลละก็ โศกนาฏกรรมมาแน่!
ต้นตอของเรื่องมาจากโครงการหมู่บ้าน “XXX ” หมู่ 17 ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ คือ จุดเกิดเหตุที่ผู้เสียหาย เล่าให้ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ฟัง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้บ้านทรุด ถึงขนาดเข้าไปอยู่ไม่ได้ !
“ ตอนนั้น พวกเราที่เป็นผู้เสียหาย ต่างปรึกษากันว่า โครงการก่อสร้างปี 2539 , พวกเราซื้อบ้านปี 2540 , แต่พอปี 2563 บ้านทรุดทั้งหลัง ทำไมมันถึงพังเร็วขนาดนั้น ทุกคนจึงปรึกษากันว่า ก่อนจะไปเรียกร้อง ให้ เจ้าของโครงการ รับผิดชอบ จำเป็นต้องทำหนังสือร้องขอ ให้ วิศวกรรมสถาน ฯ ( วสท. ) เข้ามาตรวจสอบ เสียก่อน
กระทั่ง 8 ธันวาคม 2563 นายอิทธิพล พสิษฐ์โยธิน กรรมการบริการวิชาการ วสท. ลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยสายตา โดยยังไม่ใช้เครื่องมือ เจอ ตัวการ “ เสาตอม่อ “ ชำรุด เพราะเหล็กเสริมเป็นสนิม ทำให้บ้านทรุดรวดเดียว5หลัง แค่นี้ยังไม่พอที่จะเป็นหลักฐานหนักแน่น ผู้เสียหายจึงลงขันกันว่าจ้าง บริษัทที่เชี่ยวชาญงานตรวจสอบโครงสร้างอาคารตรวจรับบ้านคอนโด ซ่อมแซมโครงสร้าง แก้ไขอาคารทรุดตรวจสอบ
เจอ จะจะ ไล่ตั้งแต่ ฐานรากทรุด , เสาตอม่อระเบิด , เหล็กงอพับ, ผนังร้าวเฉียงทะลุ , พื้นทรุด , เสาฉีกแตกร้าว , คานแตกร้าว, คอนกรีตกะเทาะ , เหล็กเป็นสนิม ทำให้คอนกรีตระเบิด จนทรุดตัว เมื่อใช้ กล้องเลเซอร์ ตรวจสอบแนวระนาบ เจอ พื้นอาคารทรุดตัว เอียงมาทางด้านหน้า และ ด้านขวา ของตัวตึกบอกได้เลยว่า หมดหนทางซ่อมแซม ต้องรื้อทิ้งอย่างเดียว
เฉพาะค่าตรวจสอบบ้านทรุด หลังละ 3 แสน 9 หมื่น 5 พันบาท ยังไม่รวมการว่าจ้างบริษัทประเมินความเสียหายเพื่อรื้อถอนและสร้างใหม่ อีกหลังละ 2 ล้าน 4 แสน 3 หมื่น 3 พัน 259 บาท รวมเบ็ดเสร็จบ้านที่เสียหายแต่ละหลังต้องเสียเงิน รายละเกือบ 3 ล้านบาท
เมื่อได้หลักฐานพร้อม ผู้เสียหายจึงรวมตัวไปเรียกร้องให้ เจ้าของโครงการ ต้องสร้างบ้านใหม่ ภาย 30 วัน แต่ผู้ประกอบการ เมินเฉย ทำหนังสือตอบปฏิเสธแบบไม่รับผิดชอบ ทำยังไงกันดี ! ผู้เสียหายมารวมตัวคิดหาทางต่อสู้ จึงตัดสินใจพากันมาที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อปรึกษาและฟ้องร้อง
เมื่อได้ข้อมูลจากผู้เสียหายครบถ้วน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงทำหนังสือไปถึงเจ้าของโครงการบ้านจัดสรร แต่อีกฝ่ายกลับส่งหนังสือปฏิเสธการเจรจา โดยอ้างว่า บ้านทรุด ไม่อยู่ในความรับผิดชอบ เพราะปัญหาอาจเกิดจาก การทำถนนของ องค์การบริหารส่วนตำบลบางเสาธง หรือ เกิดจากแรงกระแทกที่โครงสร้างเกิดตอนน้ำท่วม
เมื่อรูปการณ์ออกมาแบบนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงเป็นตัวแทนผู้เสียหายทั้ง 5 ราย ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 11 ล้านบาทเศษ
คุณกิตติศักดิ์ ธนันณัฏฐ์ ทนายความมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่เป็นตัวแทนฝ่ายโจทก์ บอกว่า เมื่อผู้เสียหายติดต่อโครงการ กลับได้แต่ความเพิกเฉยไม่สนใจใยดี ทุกคนจึงตัดสินใจยื่นฟ้องข้อหา " ผิดสัญญา" โดยอายุความเริ่มนับ ตั้งแต่วันที่ลูกบ้านทราบว่า บ้านพังเพราะสร้างไม่ตรงแบบ โดยคำฟ้องบรรยายว่า ... "เราซื้อบ้านเพราะต้องการที่ซึ่งมี "ความแน่นหนา- ถาวร -มั่นคง -ปลอดภัย-อยู่อาศัยได้นาน” แต่ผู้ประกอบการมีเจตนาไม่สร้างให้ตรงตามแบบความปลอดภัย ทั้งที่มีความรู้สร้างบ้านต้องยื่นแบบอะไรบ้าง สร้างบ้านแบบไหนบ้าง " แต่กลับจงใจไม่ใช้ฐานรากตามที่ยื่นขอซึ่งอยู่ในมาตรฐานของการสร้างบ้าน” ถึงแม้จำเลยโต้แย้งว่า ความเสียหายอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น แรงกระแทกจากการก่อสร้างถนนของหน่วยงานท้องถิ่น หรือจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม อย่างไรก็ตาม องค์การบริหารส่วนตำบลบางเสาธงได้มีหนังสือยืนยันว่า การก่อสร้างถนนในพื้นที่ดำเนินการตามหลักวิศวกรรมและไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างของบ้านในโครงการแต่อย่างใด
แต้มต่อหลักฐานยื่นสู้คดีเอาผิดโครงการบ้านจัดสรร
คุณกิตติศักดิ์ ธนันณัฏฐ์ ทนายความมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า หลักฐานที่ใช้แนบประกอบคำฟ้อง
1. แบบแปลนบ้าน ที่ระบุว่า “หมู่บ้าน XXX อยู่ปลอดภัย มีความสุข” แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
2.หลักฐานการสำรวจบ้านจากวิศวกรที่ผู้เสียหายว่าจ้างมาจากภายนอก นำมาเทียบกับแบบโครงสร้างที่โครงการยื่นขอก่อสร้างแต่กลับไม่ทำตามที่ยื่นขอจนเกิดบ้านทรุดพัง
3.หลักฐานหนังสือการยื่นร้องต่อ"คณะกรรมการจัดสรรที่ดินสมุทรปราการ " ให้มาตรวจสอบอาคารทรุด (ซึ่งยื่นก่อนฟ้องคดี)
4. หลักฐานการยื่นร้องท้องที่ในเขต, อบต. ให้มาตรวจสอบ (ซึ่งยื่นก่อนฟ้องคดี) ดูแล้วมันทรุดเอียงจริง จึงเป็นหลักฐานชั้นดีให้ยื่นฟ้อง
สุดท้าย ฝ่ายจำเลยแพ้ราบคาบ! ศาลพิพากษาให้ลูกบ้าน “ชนะคดี” ทุกคน จำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้ง 5 ราย
“ คำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 ระบุว่า เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานทั้งของโจทก์และของจำเลย ศาลมีความเห็นว่าการทรุดตัวของบ้านเกิดจากความบกพร่องในการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิศวกรรม โครงสร้างบ้านทรุดตัวอย่างรุนแรงผิดปกติภายในระยะเวลาเพียง 20 ปีเศษ ซึ่งถือว่าไม่สอดคล้องกับอายุการใช้งานของอาคารที่ก่อสร้างอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน หากจำเลยดำเนินการก่อสร้างโดยใช้วัสดุและวิธีการที่ได้มาตรฐาน โครงสร้างไม่ควรเกิดความเสียหายเช่นนี้ ศาลจึงพิพากษา ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้ง 5 ราย เป็นจำนวนรายละ 1 ล้าน 4 แสน 9 ร้อยบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอาคาร 1 ล้านบาท และค่าจ้างวิศวกรตรวจสอบ 4หมื่น 9ร้อยบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น รวมทั้งให้จำเลยชำระค่าทนายความแทนโจทก์เป็นเงิน 3 พันบาท และชำระค่าธรรมเนียมศาลแทนโจทก์ตามส่วนที่โจทก์ชนะคดี
หลังจากมีคำพิพากษา เข้าสู่กระบวนการบังคับคดี แต่โครงการบ้านจัดสรรเจ้าปัญหาเล่นแง่ไม่ยอมจ่าย-ไม่มีทรัพย์ให้ยึด! เข้าอีหรอบ... ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เพราะ 3 พฤษภาคม 2565 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอพิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างเหตุว่า ไม่ได้รับหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องเพราะย้ายที่อยู่
ศาล จึงนัดไต่สวน วันที่ 5 กันยายน 2565 , ต่อมา 19 กันยายน 2565 มีคำสั่ง ไม่รับคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย คดีนี้ หากจำเลย ไม่ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ต้องยึดถือ และปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฉบับวันที่ 28 มีนาคม 2565
เมื่อถึงขั้นตอนบังคับคดี ฝ่ายจำเลยก็ยังไม่ยอมจ่าย สร้างปัญหาให้โจทก์ต้องไปสืบทรัพย์แต่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ว่า ... เคสนี้ถือว่าโชคดี ได้หลักฐานชิ้นเด็ด ตอนนั้น ปตท.เจาะท่อผ่านที่ดินโครงการบ้านจัดสรรแห่งนี้ จะจ่ายค่าชดเชยให้ 1-2 ล้านบาท ทีนี้ผู้เสียหาย จึงส่งทนายไปอายัดสิทธิเรียกร้อง คือ แทนที่ปตท. จ่ายให้เจ้าของที่ดิน ก็ต้องมาจ่ายให้ผู้เสียหายแทน บอกว่า เขาเป็นลูกหนี้ฉัน ฉันฟ้องชนะ จึงใช้สิทธิบังคับคดีตามกฎหมาย ยึดทรัพย์ เอาเงินคืน เรียบร้อย
จากเหตุนี้ บอกให้รู้ว่า ผู้ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรร เป็นผู้มีวิชาชีพเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้านเพื่อขาย ย่อมมีความรู้ในการก่อสร้างบ้าน ยิ่งกว่าผู้บริโภคหรือ ผู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยซึ่งเป็นวิญญูชนทั่วไป ผู้บริโภคซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัย ย่อมคาดหมายว่าจะได้บ้านที่มั่นคงแข็งแรง ตามหลักวิศวกรรม อยู่อาศัยได้เป็นเวลานาน หากผู้ประกอบการใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพตามหลักวิศวกรรม เป็นเหตุให้บ้านทรุดตัว จึงถือได้ว่า ก่อสร้างบ้านไม่ได้มาตรฐานตามหลักวิศวกรรม และเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ให้แก่ผู้บริโภคตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 อันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ผู้บริโภคย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการกระทำดังกล่าวได้
ผู้ที่อ่านบทความนี้ อาจมีข้อสงสัยว่า ....ในเมื่อบ้านจัดสรรแห่งนี้ ทรุดพังทั้งโครงการ ทำไม? จึงมีผู้เสียหายยื่นฟ้องแค่5ราย คุณกิตติศักดิ์ ธนันณัฏฐ์ ทนายความมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อธิบายว่า “พวกเค้าไม่ฟ้องกันไง !พากันปล่อยทิ้งร้าง ติดป้ายประกาศขาย แต่…แบบนี้ใครจะกล้าซื้อ? การแก้ปัญหาแบบ “ขายหนี” ไม่ได้ช่วยอะไรเลย อาจเป็นด้วยเหตุไม่อยากเสียเงินค่าฟ้องร้อง หรือถอดใจ เพราะอาจเข้าใจว่า โอนกรรมสิทธิ์10กว่าปี เพิ่งเกิดทรุด ฟ้องไม่ได้แน่นอน มันน่าจะขาดอายุความแล้ว ขอบอกว่า เข้าใจผิดอย่างแรง ... มันยังฟ้องได้อยู่ จากตัวอย่างของ5รายนี่ไง
เอ้า! อาจมีคำถามสงสัยเพิ่มมาอีก “ ความต่างของเงื่อนเวลา อยู่มานับ 10 ปี บ้านเพิ่งพัง กับอยู่ไม่ถึง1ปีบ้านพังจะฟ้องกันยังไง มีอะไรที่ใช้คัดง้างกันในศาล
ทนายความมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า ต้องพิสูจน์ให้เห็น...โครงการบ้านจัดสรร สร้างไม่ได้มาตรฐานตามที่ยื่นขออนุญาต หรือสร้างไม่ได้มาตรฐานตามหลักวิศวกรรม เช่น ฐานราก เพราะหากดีจริงตามที่ยื่นแบบก่อสร้าง อยู่กันเป็นสิบ-ยี่สิบปีมันก็ไม่เอนทรุดพัง อย่างมากก็แค่ปูนร้าวตามสภาพอายุการใช้งานเวลานาน ที่สำคัญมีหลักฐานที่ต้องเก็บให้เบ็ดเสร็จเพื่อยื่นฟ้องศาล ไม่ว่าจะซื้อบ้านใหม่ หรือเก่า หลักฐานสำคัญต้องเก็บไว้ห้ามหายเด็ดขาด !
1.โบชัวร์โฆษณาของโครงการ หรือ แคปหน้าจอเว็บไซต์เอาไว้ ถือเป็นหลักฐานสำคัญมากในการยื่นฟ้องต่อศาล ต่อให้เราซื้อบ้านอยู่มาแล้วกว่าสิบปี แต่คำโฆษณามันคือหลักฐานที่แน่นหนา เป็นการยืนยัน" คุณโฆษณาขายบ้าน ขายความมั่นคง ขายความปลอดภัย ขายความสวยหรู แต่พออยู่ๆไป บ้านหลังนั้น มันพัง ไม่ตรงตามโฆษณา นี่เองเป็นน้ำหนักให้กับผู้เสียหายที่ยื่นฟ้อง โดยศาล จะนำหลักฐานนี้ไปวิเคราะห์ว่า "เอ๊า คุณโฆษณาขายว่า บ้านปลอดภัยแข็งแรงได้มาตรฐาน ทำให้ลูกค้าเห็นคำโฆษณาจึงตัดสินใจจ่ายเงินซื้อบ้านด้วยความหวังว่า ได้อยู่บ้านที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน แต่พออยู่มาแล้วมันกลับตรงกันข้าม เท่ากับ คุณผิดสัญญา นี่เป็นตัวชี้ชัดเลย
2. หากบ้านมีอาการร้าวหรือเอียง สิ่งต้องดำเนินการอย่างด่วนๆ นั่นคือ ไป สำนักงานที่ดิน เพื่อขอคัด"แบบอนุญาตก่อสร้าง " รวมถึง แบบแปลนโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่เป็นปัญหา เพราะก่อนก่อสร้างใด ๆ โครงการจะต้องยื่นต่อ สำนักงานที่ดิน เป็นผังทั้งโครงการ และ ผังโฉนดรวม รวมถึงผังของบ้านแต่ละหลัง ซึ่งการขออนุญาตก่อสร้างและผังโฉนดรวมทั้งโครงการ " ต้องไปขอที่สำนักงานที่ดินแบบแปลนก่อสร้าง โดยลูกบ้านทุกคนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนั้น ๆ มีสิทธิ์ยื่นขอหลักฐานได้ แต่ค่าใช้จ่ายต้องออกเองไปก่อน
3. ผู้เสียหายต้องจ้างวิศวกรจากภายนอกเข้ามาสำรวจ โครงการที่เป็นปัญหา ก่อสร้างถูกต้องตามแบบที่ขอกับสำนักงานที่ดินหรือไม่ เช่น ฐานราก หากพบไม่ตรง ผิดแน่นอน
4.หลักฐานหลังเกิดเหตุได้ไปยื่นร้องเรียนที่ไหนบ้าง ถือเป็นส่วนประกอบของคำฟ้องได้ เช่น สำนักงานเขต , เทศบาล ถือเป็นการยืนยันน้ำหนัก โครงการก่อสร้างบ้านไม่ได้มาตรฐาน จนอยู่ไม่ได้ ถึงขนาดผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องสั่งห้ามใช้อาคาร
5.จำเป็นต้องลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเพิ่มน้ำหนัก บ้านทรุดจริง ไม่ได้โกหกโมเม หรือ มโนขึ้นมา
6.ประเด็นสำคัญ หากต้องซ่อมบ้านเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เพื่อเอามาเป็นตัวเลขประเมินค่าเสียหาย ในการยื่นต่อศาล
หากถามว่าหากเกิดเคสแบบนี้ ฟ้องแบบกลุ่ม (Class Action) ได้ไหม?
คุณกิตติศักดิ์ ธนันณัฏฐ์ ทนายความมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ตอบว่า: ได้ แต่ ไม่แนะนำ เพราะ…ทำให้การดำเนินคดีช้ามากๆๆๆๆ แถม ยุ่งยาก
ยังไงน่ะเหรอ ? เพราะการฟ้องคดีกลุ่ม หรือ CLASS ACTION จะต้องยื่นคำร้องขอดำเนินคดีแบบกลุ่มก่อน จากนั้นศาลนัดไต่สวนเพื่อพิจารณาว่า คดีแบบนี้ควรเป็นแบบกลุ่มหรือไม่ โดยต้องเอาพยานโจทก์และ พยานจำเลยเข้ามา กว่าศาลจะมีคำสั่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร หากศาลรับเป็นคดีแบบกลุ่มถึงจะดำเนินการสืบพยานแบบปกติ
อีกเงื่อนไขที่ไม่แนะนำให้ฟ้องคดีแบบกลุ่ม หากศาลมีคำสั่งให้เป็นคดีแบบกลุ่ม ในตัวบทกฎหมายได้กำหนดให้โจทก์ที่เป็นผู้ฟ้อง จะต้องลงประกาศหนังสือพิมพ์ ซึ่งค่าประกาศอย่างต่ำ1แสนบาทขึ้นไป ยกตัวอย่าง คดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่ม ได้แก่ พาราควอต ที่จังหวัดหนองบัวลำภู หรือ กระทะโคเรียคิง ซึ่งภาระตรงนี้มันตกหนักที่โจทก์
ส่วนเงื่อนเวลา การฟ้องคดีกลุ่ม หรือ CLASS ACTION หลังจากยื่นคำฟ้อง ภายใน30วัน ศาลจะนัดไต่สวนคำร้อง ซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยต้องงัดหลักฐานมาสู้คดีก็ใช้เวลา1ปี โดยประมาณ กว่าศาลจะมีคำสั่ง หรือไม่รับเป็นคดีแบบกลุ่ม , หลังจากศาลมีคำสั่งรับเป็นคดีแบบกลุ่ม ก็ยังต้องมีระยะเวลาที่โจทก์ต้องประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ นับไป1ปีกว่าที่ต้องเสียเวลาตรงนี้ , จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการสืบพยานแบบปกติ อีก1ปี หลังจากศาลมีคำสั่งรับเป็นคดีแบบกลุ่ม ฝ่ายจำเลยยังมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้อีกนะ เพราะไม่อยากให้เป็นคดีแบบกลุ่ม ซึ่งกระบวนการตรงนี้ ยังนับไปอีก 8เดือน กว่าศาลจะพิจารณาคำสั่งอุทธรณ์ลง นี่ยังไม่ไปถึงขั้นตอนการสืบพยานเลย และยิ่งหากศาลอุทธรณ์สั่งลงมา คดีแบบนี้ ไม่ไห้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม นั่นก็ทำให้โจทก์ ในฐานะผู้เสียก็ยื่นฏีกาต่อ นี่ละ!เห็นมั้ย ยังไม่ถึงขั้นตอนการสืบพยานเสียที ยกตัวอย่างคดีกระทะโคเรียคิง ฟ้องตั้งแต่ปี 2560 ศาลถึงมีคำพิพากษาปี 2566 เพราะมันอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกาแก้กันไปแก้กันมา เบ็ดเสร็จใช้เวลาไปเกือบ 7 ปี
✅แนะแนวทางที่ดีกว่า ควรรวมตัวกันเป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องเป็นคดีเดียว โดยยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคทั่วไป เหมือนกับเคส5รายที่บ้านจัดสรรทรุดพัง โดยแชร์ค่าทนายความ ช่วยให้คดีเดินเร็วกว่า ประหยัดกว่า ไม่มีค่าธรรมเนียมศาล ไม่มีค่าส่งหมาย ไม่เสียค่าประกาศโฆษณา ได้ผลจริง โดยนับจากวันยื่นฟ้องไม่เกิน30วัน ศาลจะกำหนดนัดแรกด้วยการไกล่เกลี่ย แต่หากไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล นัดต่อไป ก็สืบพยานกันเลย ซึ่งใช้ระยะเวลาสืบพยานไม่น่าจะเกิน1ปี แล้วพิพากษา
ใครเจอปัญหาแบบนี้ โทรปรึกษาได้ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 02 248 3737 หรือ complaint@consumerthai.org